23 กรกฎาคม 2560 ฝ่ายปกครองแจงว่า มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมและยาเสพติด ตามแผนการรักษาความสงบเรียบร้อยของจังหวัดพัทลุง
ซึ่งปฏิบัติเป็นประจำทุกเดือน โดยมีการปล่อยแถวและให้โอวาทจากผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงก่อนออกปฏิบัติงาน
เป้าหมายของการปฏิบัติเป็นการป้องปรามการใช้อาวุธสงครามและการคัดกรองหาผู้เสพยาเสพติด
จึงมีการตั้งด่านตรวจค้น 2 จุด ในตัวเมืองพัทลุงซึ่งมีการประกอบกำลังทั้งฝ่ายปกครอง และทหาร จำนวนประมาณ 80 นาย
รายละเอียดในวันดังกล่าว
1.ได้ผู้เสพยาเสพติดมากถึง 30 คน เพื่อเข้ารับการบำบัด
2.พบมีเจ้าหน้าที่ของรัฐนำอาวุธปืนติดยานพาหนะมาด้วยหลายราย แต่เมื่อพิจารณาแล้วไม่ได้มีพิรุธใดๆ จึงให้นำใบป.4 มาแสดง เมื่อสามารถแสดงได้ก็ไม่ได้จับกุมดำเนินคดี แต่อย่างใด
3.เวลาใกล้เที่ยงคืน พบ ส.ต.ต.รณชาติ ฯ ขับรถยนต์โตโยต้าวีออส สีดำ หมายเลขทะเบียน กท – 4108 มีอารุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม (M 4)
และปืนพกขนาด 9 มม. ใส่แมกกาซีนบรรจุกระสุนพร้อมใช้งาน วางอยู่ในห้องโดยสารในลักษณะที่สามารถหยิบมาใช้ได้ทันที
เมื่อพบอาวุธสงครามจึงได้สอบถาม ทราบว่าเป็นตำรวจสภ.ยะหา จ.ยะลา จึงขอให้แจ้งที่สภ.ยะหา
ส่งไลน์บัญชีคุมอาวุธปืนมาให้ตรวจสอบ
ระหว่างนั้น ได้สอบถามว่าจะเดินทางไปไหน ส.ต.ต.รณชาติฯ มีอาการอ้ำอึ้งและตอบว่าจะเดินทางกลับสภ.ยะหา โดยออกจากบ้านที่ จ.ตรัง จนท.จึงสอบถามว่าเดินทางจากบ้านที่จ.ตรังกลับยะลา ทำไมจึงต้องเข้ามาในตัวเมืองพัทลุง เนื่องจาก หากเดินทางจากจ.ตรัง ก็ขับรถสายเอเชีย วิ่งตรงลงไปหาดใหญ่ได้โดยง่าย แต่เหตุใดจึงต้องวกเข้ามาในตัวเมืองพัทลุง (จุดเกิดเหตุเป็นสามแยกท่ามิหรำ ในตัวเมืองพัทลุง)
ส.ต.ต.รณชาติ ฯ ตอบว่าจะเข้ามานอนพักในตัวเมืองพัทลุง (ระยะทางจากตรัง – พัทลุง ห่างเพียง 80-90 กม.)
เมื่อจนท.ตรวจสอบทะเบียนรถที่ส.ต.ต. รณชาติ ฯ ขับมา พบว่าเป็นป้ายทะเบียนปลอม (ทะเบียนนี้เป็นของรถยนต์ซูซูกิ ชื่อผู้ครอบครองเป็นหญิง) จนท.จึงเกิดมีความสงสัยหลายประการ แต่เมื่อส.ต.ต.รณชาติฯ ได้นำทะเบียนคุมอาวุธปืนราชการสงครามที่ส่งไลน์มาให้จนท.ดูแล้ว จนท.กำลังจะอะลุ้มอะล่วย
เพื่อมิให้เกิดปัญหากับตัวส.ต.ต.รณชาติฯ ที่นำอาวุธปืนสงครามออกมานอกที่ตั้งกลับบ้าน
แต่เมื่อเอาทะเบียนคุมมาให้ดูแล้ว ส.ต.ต.รณชาติฯ กลับพูดจาทำนองไม่ให้เกียรติจนท. ว่า ใช้อำนาจอะไรมาตั้งด่าน มีการตั้งร่วมกันสามฝ่ายหรือไม่
ระหว่างที่กำลังพูดคุยอยู่ที่จุดตรวจนั้น พ.ต.อ.ตรีวิทย์ ศรีประภา รองผบก.ภ.จว.พัทลุง ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ เมื่อทราบว่ามีการนำอาวุธสงครามออกมาจากที่ตั้ง จึงได้กล่าวตำหนิ ว่าผิดทั้งระเบียบและกฎหมาย และยังเป็นการขัดคำสั่งของหัวหน้าคสช.ที่ห้ามเคลื่อนย้ายอาวุธสงครามออกนอกหน่วยอีกด้วย
และพ.ต.อ.ตรีวิทย์ฯ ได้สั่งการให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมิได้ขอให้มีการปล่อยตัวส.ต.ต.รณชาติฯ อย่างที่มีผู้นำไปอ้างในโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด
เรื่องกระแสในโซเชียลมีเดียนี้ ขอให้ผู้แชร์ข้อมูล พึงระมัดระวัง เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง
ทั้งนี้ขอให้สอบถามข้อเท็จจริงจากผู้อยู่ในเหตุการด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจนท.ผู้ปฏิงานในการรักษาความสงบเรีบร้อยให้แก่ประชาชน อาจหมดกำลังใจในการทำงานได้เพราะความเข้าใจผิด และสื่อก็ไม่ไปสอบถาม ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานจริงในวันนั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ได้มีโอกาสชี้แจงบ้าง
คำถามคือ หากท่านเป็นจนท.พบคนที่ขับรถสวมป้ายทะเบียนปลอม ขับรถพกปืนพก และพาอาวุธสงครามบรรจุกระสุนพร้อมใช้งาน ผ่านมาในตัวเมืองยามวิกาล เมื่อสอบถามแล้วกลับให้การวกวนเป็นพิรุธไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ แม้ท่านจะทราบแล้วในภายหลังว่าเป็นจนท.รัฐจริง ตัวท่านจะปล่อยไปหรือ
อย่าลืมว่าขณะนั้นท่านมิได้ปฏิบัติงานอยู่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ยังมีจนท.ฝ่ายทหาร ที่รู้เห็นเหตุการณ์อีกด้วย
ซึ่งหากพบการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งหน.คสช.ชัดเจนแล้วยังปล่อยไป หากมีจนท.หารไปรายงานผบช.ว่าท่านจงใจละเว้น แล้วใครจะสามารถรับผิดชอบแทนท่านได้
อีกทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของพัทลุงพื้นที่เกิดเหตุ ก็ยังสั่งสำทับให้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ อีกด้วย
หากเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร ระหว่างปล่อยตัวไป กับดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ???
ทีมข่าว สำนักข่าว vihok news