ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » ​#มติผู้ตรวจการแผ่นดินชัด !!ซื้อเรือดำน้ำจีนโปร่งใส ไม่ขัดรธน. 

​#มติผู้ตรวจการแผ่นดินชัด !!ซื้อเรือดำน้ำจีนโปร่งใส ไม่ขัดรธน. 

27 July 2017
629   0

            

                     27 กรกฎาคม 2560 น. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติยุติการพิจารณากรณีที่สมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอให้วินิจฉัยว่าการจัดซื้อเรือด้ำ S-26T ระหว่างกองทัพเรือ กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกระทรวงกลาโหม 

โดยกองทัพเรือ และคณะรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 ประกอบพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการที่ครม.เห็นชอบโดยไม่ได้ขอความเห็นจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 178 หรือไม่ เนื่องจากการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว มิได้มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด กรณีนี้จึงไม่เป็นไปตามมาตรา 230 และ 231 ของรัฐธรรมนูญ ที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ตรงประเด็น – นายรักษเกชา กล่าวว่า จากการที่ผู้ตรวจฯได้ขอข้อมูลจากกองทัพเรือ สำนักงบประมาณ พบว่ากองทัพเรือได้เสนอการจัดหาเรือดำน้ำไว้ในคำของบประมาณของกองทัพเรือ ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยบรรจุรายการโครงการจัดหาเรือดำน้ำระยะที่ 1 ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพการป้องกันประเทศ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ 2560-2566 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบและยุทธศาสตร์กองทัพเรือ สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งตามพ.ร.บ.งบประมาณ 2502 มาตรา 23 วรรคสาม กำหนดให้ครม.พิจารณาอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันภายใน 60 วันนับแต่วันที่พ.ร.บ.งบประมาณใช้บังคับ ซึ่งกรณีนี้ปีงบประมาณ 2560 เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 และครม.ได้มีมติอนุมัติให้กองทัพเรือจัดหาเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ซึ่งภายในระยะเวลา 60 วันตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนมติครม.วันที่ 18 เมษายน 2560 เป็นเพียงการรับทราบการดำเนินงานตามความเห็นของสำนักงบประมาณเท่านั้น
นายรักษเกชา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างกองทัพเรือกับรัฐบาลจีนนั้น เข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 หรือไม่นั้น กรณีนี้ครม.ได้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ที่มีความเห็นในทำนองเดียวกันว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นการทำสัญญาซื้อขายในเชิงพาณิชย์ ทำนองเดียวกับการทำสัญญาระหว่างเอกชนและเอกชน ไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันต่ออาณาเขตหรืออธิปไตย กรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และหากครม.เห็นว่าหนังสือสัญญาดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้

“เมื่อย้อนกลับไปดูรายละเอียดจะเห็นว่ากองทัพเรือ ได้มีการตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ(กจด.) เพื่อศึกษา โดยริเริ่มมาตั้งแต่ ปี 2537 มีการวางแผนอย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ การดำเนินการจัดซื้อเรือดำน้ำได้ดำเนินการภายใต้กรอบแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ไม่ได้เป็นการสร้างภาระแก่ประเทศชาติหรือประชาชนโดยไม่จำเป็น ส่วนความคุ้มค่านั้น ต้องดูหลายอย่างเช่นเรื่องเทคนิค ผู้ตรวจฯไม่สามารถก้าวล่วงได้ทั้งหมด ต้องไปถามกองทัพ แต่ที่ผ่านมายุทโธปกรณ์หลายๆอย่าง ก็มีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในยามภัยพิบัติได้ ไม่ใช่แค่มีไว้สู้รบอย่างเดียว”นายรักษเกชา กล่าว
นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ตรวจฯ ยังมีมติไม่รับคำร้องกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่ากระบวนการตราพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และ พ.ศ.2550 มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ผู้ตรวจฯเห็นว่า บทบัญญัติ มารตรา 231(1) กำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจฯให้มีหน้าที่และอำนาจเสนอเรื่องที่มีปัญหาเกี่ยวกับบทบัญญัติหรือเนื้อหาของกฎหมายที่เป็นหลักการตรวจสอบภายหลังประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้วเท่านั้น มิได้ให้อำนาจผู้ตรวจมีอำนาจเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
 เพื่อวินิจฉัยกระบวนการตรากฎหมาย ซึ่งเป็นหลักการตรวจสอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย ดังนั้น คำร้องที่อ้างเหตุจากสนช.เข้าประชุมไม่ครบองค์ประชุมในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2550 นั้น ซึ่งเป็นการขอให้วินิจฉัยถึงกระบวนการตราพ.ร.บ.ฯว่าเป็นการตราขึ้นโดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญในขณะนั้นหรือไม่ จึงเป็นคำร้องที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่ผู้ตรวจจะเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้างส่วนผมก็ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะจ้างใครเขาไปตรวจ ก็ไม่มีค่อยมีคนอยากเข้าไป เพราะในคลังมันเละไปหมด แต่ถ้าปฏิบัติต้องทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าบอกว่าทุจริตนั้นเป็นการเมือง

ทีมข่าว สำนักข่าว  vihok news