ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » ​#ย้อนรอยคดีสลายพธม….!!! อนุพงษ์เคยเสียใจถ้าเป็นนายกลาออกแล้ว

​#ย้อนรอยคดีสลายพธม….!!! อนุพงษ์เคยเสียใจถ้าเป็นนายกลาออกแล้ว

5 August 2017
680   0

        5 ส.ค. 60 31 ก.ค.60  วิหคนิวส์ขอนำเรื่องรางในอดีต ที่ได้เกิดขึ้นในกรณีการสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ที่ถูกบันทึกไว้โดยผู้จัดการออนไลน์  ระบุว่า

        ผบ.เหล่าทัพ-ผบ.ตร.ตบเท้าให้สัมภาษณ์ช่อง 3 ถึงสถานการณ์ชายแดน-การเมือง ผบ.สส.ยืนยันรบกัมพูชาไม่มีกั๊ก “อนุพงษ์” ยอมรับเสียใจเหตุ 7 ตุลา ระบุ ถ้าย้อนเวลากลับได้คงประท้วง รบ.ถึงที่สุดเพื่อยุติเหตุ ส่งสัญญาณถึง “สมชาย” ระบุ ถ้าเป็นตัวเองลาออกไปแล้ว ย้ำปฏิวัติไม่ใช่ทางออก พร้อมปฏิเสธใกล้ชิดทักษิณ ยืนยันไม่ทรยศต่อสถาบันแน่นอน

       

   

       

       ช่วงเย็นวันนี้ (16 ต.ค.) ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้มีการเชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหมด ประกอบด้วย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาสัมภาษณ์ในประเด็น “จุดยืนเหล่าทัพกับสถานการณ์กัมพูชา-การเมืองไทย”

       

       ในช่วงแรก เป็นการสัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ความตึงเครียดต่อสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ซึ่งวานนี้ (15 ต.ค.) ได้มีการสู้รบกันแล้วจนทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ขณะที่ทหารของฝ่ายกัมพูชานั้นมีทั้งผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ โดย ผบ.เหล่าทัพทุกเหล่าทัพยืนยันว่าได้มีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งทุกเหล่าทัพจะดูแลรักษาอธิปไตยอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งทางบก ทางเรือ รวมไปถึงทางอากาศ ดังนั้นจึงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะถึงเวลานี้สถานการณ์ก็เริ่มกลับเข้าสู่สภาภาพการเจรจาแล้ว

       

       ส่วนในประเด็นที่สื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมาก มองว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนั้นมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกันมากอยู่เบื้องหลังนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถึงมีก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทราบได้ว่ามีเรื่องอะไรอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่ตนจะตอบ และคาดถึงได้ และกองทัพก็คงไม่มีเวลาไปคิดเรื่องเหล่านั้น เพราะกองทัพต้องทุ่มเทเวลา และความคิดให้กับการดูแลรักษาสถานการณ์และอธิปไตยของชาติให้ดีที่สุด

       

       ด้าน พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าอาจเป็นเพราะรัฐบาลกัมพูชาได้รับข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อนไป จนทำให้เข้าใจผิดว่ามีการรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา

       

       ขณะที่ในช่วงต่อมาเมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่มีสถานการณ์แบ่งฝักแบ่งฝ่ายประชาชนกันมากนั้น คำถามส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะ ผบ.ทบ.ผู้กุมกำลังไว้มากที่สุด โดย พล.อ.อนุพงษ์ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ตำรวจใช้กำลังทำร้ายและฆ่าประชาชนอย่างต่อเนื่องทั้งวัน จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 400 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 คน

       

       พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ก่อนจะกล่าวถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตนอยากจะกล่าวถึงทางออกของปัญหาบ้านเมืองในทุกวันนี้ว่า สังคมจะมีทางออกได้ก็ต่อเมื่อประชาชนคนในชาติ ไม่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะหากแบ่งแยกกันเช่นนี้บ้านเมืองก็มีแต่จะล่มจม ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องหาทางที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ โดยจะต้องยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของแต่ละฝ่ายได้ ส่วนกระแสเรียกร้องให้ทหารอยู่ข้างประชาชนนั้นก็ต้องบอกว่าทหารอยู่ข้างประชาชนเสมอ แต่ในเมื่อทุกฝ่ายที่เรียกร้องก็คือประชาชน ดังนั้นทหารจึงเลือกฝั่งไม่ได้

       

       พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.นั้น ตนยืนยันได้ว่ากองทัพ ไม่ได้รับทราบมาก่อนเลย เมื่อตอนประชุมร่วมกับรัฐบาลในเย็นวันที่ 6 ต.ค. นั้น ตนก็ทราบแค่เพียงว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ตำรวจดูแลความเรียบร้อยให้สามารถเข้าไปประชุมในสภาได้ กองทัพจึงมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการสั่งการของเจ้าหน้าที่รัฐ ให้ตำรวจปฏิบัติงาน ซึ่งเราคงไปยุ่งไม่ได้ และเรื่องของการเอาผิดกับใครเราคงไม่ไปพูดถึง บอกได้เพียงแต่ว่าตนเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น และก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขนาดนั้น

       

       ส่วนสาเหตุที่ทหารไม่ได้ออกไปนั้น ก็เพราะเราไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงมากขนาดนี้ และตนก็มองว่าหากกองทัพนำทหารออกไปจะนำออกไปในฐานะใด เพราะการนำทหารออกไปก็ไม่มีกฎหมายใดรองรับหากนำทหารออกไปแล้วสถานการณ์ความรุนแรงจะมากขึ้นหรือไม่ รวมไปถึงหากนำทหารออกไปแล้ว กองทัพ และตำรวจก็จะต้องแตกแยกกันไปอีกยาวนาน และยากที่จะประสาน

       

       ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ตนก็คงต้องคัดค้านการกระทำของรัฐบาลอย่างถึงที่สุด คงจะนำทหารออกไปป้องกันความรุนแรงอย่างเต็มที่ เพราะตนก็ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย และความรุนแรงขนาดนี้ เพราะผู้เสียชีวิตและประชาชน อย่างเช่น น้องโบว์ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ นั้นก็เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ายิ่งของประเทศและสังคม

       

       ส่วนการเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบนั้น ผบ.ทบ. ระบุว่า แน่นอนว่า ฝ่ายการเมืองต้องเป็นผู้สั่งการ มิฉะนั้นตำรวจก็ลงมือปฏิบัติการมิได้ ซึ่งตนคิดว่าหากตำรวจรู้ว่าจะเกิดความรุนแรงขนาดนี้ ตำรวจก็คงไม่ทำ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องไปดูว่า ไปสอบสวนว่า เหตุใดความรุนแรงนี้จึงเกิดขึ้น ใครเป็นคนสั่งการ และแก๊สน้ำตาที่ใช้นั้นเหตุใดจึงสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ ซึ่งเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ เพราะการสูญเสียที่เกิดขึ้นผู้ชุมนุมวันที่ 7 ต.ค.นั้น เป็นแค่ขั้นปฐมภูมิ เท่านั้น แต่ความสูญเสียและความเสียหายที่จะตามมาอีกมากนั่นคือ สถาบันตำรวจที่จะถูกผู้คนมอง ว่าทำร้ายประชาชน

       

       โดย พล.อ.อนุพงษ์ เปิดเผยด้วยว่า ฝ่ายการเมืองนั้นกดดันให้ตนใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมมาตลอด ตั้งแต่มีการประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แต่ตนก็ไม่ทำเพราะเห็นว่าแก้ปัญหาใดๆ ไม่ได้ และในการชุมนุมมา 100 กว่าวันของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้นก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมาตลอด

       

       ในส่วนของผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลควรจะลาออก หรือยุบสภาเสีย เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่มีทางออกแล้ว ซึ่งตนไม่ได้บีบคั้นรัฐบาล แต่ตนมองว่ารัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

       

       “ต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบเรื่องนโยบายการสั่งหรือการปฏิบัติ ต้องสอบสวนกันไป ดูตามเหตุผล กฎหมาย และหลักการที่จะทำได้ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในชาติได้ มิเช่นนั้นคงไม่ได้” ผู้บัญชาการทหารบกย้ำ

       

       เมื่อนายสรยุทธ์ ถาม พล.อ.อนุพงษ์ ว่า หาก พล.อ.อนุพงษ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ ตอบว่า ถ้าตอบตามความสัตย์จริงตนก็คงจะลาออก คงไม่อยู่ เพราะรัฐบาลจะปกครองอยู่บนกองเลือดของประชาชนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด เพราะสังคมคงยอมรับไม่ได้ จะมาอยู่ทำไม ในเมื่อบ้านเมืองเสียหายขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ตามนี่เป็นความเห็นส่วนตัว

       

       เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า คาดหวังว่าจะให้รัฐบาลลาออกหรือไม่ ผบ.ทบ.ตอบว่า คิด เพราะตอนนี้ไม่มีทาง หากรัฐบาลสั่งการเองคงต้องรับผิดชอบ กระแสคนในชาติคงไม่ยอม เมื่อไม่ยอมจะเกิดความปั่นป่วน และไม่จบ แต่ไม่ใช่จะไปบีบคั้นให้รัฐบาลลาออก

       

       “รัฐบาลต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดหากอยู่บนความเสียหายของชาติ ประชาชนล้มตายก็รับไม่ได้ จะอยู่อย่างไร ก็อยู่ไมได้ ไม่ใช่รัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว แต่ต้องเป็นรัฐบาลที่สังคมรับได้ ผมพูดไม่ได้จงเกลียดจงชัง ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบ พูดกันได้ด้วยเหตุผลบนพื้นฐานที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ควรจะเป็นไป”

       

       ส่วนในประเด็นเรื่อง การปฏิบัติการผิดพลาด ขาดการฝึกซ้อมในปฏิบัติการ มีการประเมินการใช้อาวุธผิดพลาด หรือประเมินขีดความสามารถในการทำลายล้างของอาวุธผิดพลาดของตำรวจนั้น ผบ.ทบ.เห็นว่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวน แต่เป็นคนละเรื่องกันกับเรื่องของความรับผิดชอบของผู้สั่งการ

       

       ในส่วนคำถามเรื่องความคิดเรื่องการปฏิวัติเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนได้เคยพูดคุยร่วมกับทุกเหล่าทัพ และได้สอบถามความเห็นของผู้ใหญ่และนักวิชาการในสังคมอยู่บ่อยๆ ว่า ปฏิวัติดีหรือไม่ และจะทำให้เรื่องจบหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วย ซึ่งตนก็คิดว่าการปฏิวัติไม่ใช่หนทางในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด มีแต่จะยิ่งทำให้บ้านเมืองเสียหาย ดังนั้นความคิดในเรื่องของการปฏิวัติ จึงไม่มีแน่นอน

 
      

       อย่างไรก็ตาม เมื่อ นายสรยุทธ์ หันกลับมาถามประเด็นดังกล่าวกับ พล.อ.ทรงกิตติ ผบ.สส. พล.อ.ทรงกิตติ ก็ให้คำตอบว่า สำหรับจุดยืนของทหารทุกเหล่าทัพนั้น เราถือว่า พล.อ.อนุพงษ์ เป็นแม่ทัพทหารบก ซึ่งเมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เรียกร้องเช่นนี้ทหารทุกเหล่าทัพ ทั้งทหารสูงสุด ทหารเรือ และทหารอากาศ ก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน เพราะทุกเหล่าทัพก็คือทหารเหมือนกัน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในจุดยืน ทั้งนี้ พล.อ.ทรงกิตติ ย้ำว่า อยากให้ทุกฝ่ายหันมาใช้แนวทางประนีประนอมกันเพื่อหาทางออกของบ้านเมือง รวมไปถึงหาทางที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติได้

       

       ต่อคำถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับการที่มีกระแสเรียกร้องว่า ให้ทหารออกมาอยู่ข้างประชาชน พล.อ.ทรงกิตติกล่าวว่า ทหารอยู่ข้างประชาชนเสมอ แต่ทหารและกองทัพ ถูกกำหนดบทบาทหน้าที่ไว้ตามกฎหมายว่า ต้องป้องกันรักษาอธิปไตยของประเทศ ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ช่วยพัฒนาประเทศ รวมไปถึงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลเช่น การปราบปรามยาเสพติดด้วย ดังนั้น จุดยืนของกองทัพก็คือ การทำตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย และทุกวันนี้ทหารก็ยังอยู่ข้างประชาชน ซึ่งทุกฝ่ายในสังคมขณะนี้ก็คือประชาชนเหมือนกัน

       

       “พัชรวาท”ยอมรับทำตามคำสั่งรัฐบาล

       

       สำหรับ พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้ดำเนินรายการได้ถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้เกิดความรุนแรงขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นใครเป็นคนสั่งการ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัดก่อน เพราะตนมาพูดคนเดียวก็คงไม่ได้ อาจจะถูกมองเป็นการแก้ตัวอีก ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญ และคณะกรรมการกลางตรวจสอบออกมาก่อน ซึ่งตำรวจก็พร้อมรับการตรวจสอบด้วย

       

       ส่วนเรื่องใครเป็นคนสั่งการนั้น ตนก็คงพูดคนเดียวไม่ได้ บอกได้เพียงตำรวจทำไปตามหน้าที่ซึ่งตำรวจก็มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของรัฐบาล ผู้ดำเนินรายการจึงถามว่า หมายถึงรัฐบาลเป็นคนสั่งการใช่หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตนคงยังตอบอย่างนั้นไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องรอให้มีผลการสอบสวนออกมาก่อนทั้งนี้ในกรณีของแก๊สน้ำตาที่ตำรวจนำมาใช้นั้น ก็ต้องรอการตรวจสอบเช่นกันว่าเหตุใดจึงทำให้คนบาดเจ็บถึงขั้น แขนขาขาดได้

       

       ต่อคำถามที่ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ขณะนี้ศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งมาแล้วว่าจะต้องดำเนินการกับผู้ชุมนุมไปตามขั้นตอนที่กำหนด ซึ่งก็ต้องบอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกดีใจ ที่มีคำสั่งที่ออกมาเป็นกฎเกณฑ์เช่นนี้ เพราะเราจะได้มีกรอบปฏิบัติงานที่ชัดเจนมากขึ้น

       

       ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า ในเมื่อสลายการชุมนุมในช่วงเช้าของวันที่ 7 ต.ค. ไปแล้วพบว่าประชาชนได้รับบาดเจ็บ เหตุใดจึงยังใช้แก๊สน้ำตาดังกล่าวต่อไปอีกในช่วงเย็น และช่วงค่ำ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตนเชื่อว่าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นก็คิดเช่นเดียวกัน คือ ไม่คิดว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดความบาดเจ็บได้