ที่ 21 สิงหาคม 2560 สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ป.ป.ช.อัยการยันฟ้องคดีจำนำข้าว ทุจริตพ่วงด้วยถูกต้องแล้ว
เหตุ ป.ป.ช. ชี้มูลผิดตาม ป.อาญา 157 ทั้งวรรค-พ.ร.บ.ป.ป.ช. ม.123/1 ด้วย ยกเป็นบัญญัติตาม UN ถ้าเพิกเฉยต่อหน้าที่ถือว่าทุจริต ที่อ้างว่า ‘วิชา-สรรเสริญ’ บอกไม่มีทุจริต แค่พูดนอกศาล เข้าใจกันไปเอง คำแถลงปิดคดีของฝ่ายพนักงานอัยการแบบลายลักษณ์อักษร ในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว อธิบายพฤติการณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ว่า รับทราบคำเตือนข้อท้วงติงจากหน่วยงานต่าง ๆ ถึงโครงการนี้ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับงบประมาณของชาติ และอาจเปิดช่องให้มีการทุจริตเกิดขึ้นได้ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์
และคณะรัฐมนตรี ยังคงยืนยันจะทำตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาต่อไป อย่างไรก็ดีฝ่ายทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ต่อสู้ในประเด็นว่า ฝ่ายพนักงานอัยการได้ฟ้องฐานความผิดเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และก่อนหน้านี้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน (ขณะนั้น) ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า คดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีประเด็นทุจริตแต่อย่างใด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า คำแถลงปิดคดีของฝ่ายพนักงานอัยการ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีนี้ สรุปได้ว่า เมื่อพิจารณาจากสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งหมดแล้ว
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นอกจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่ามีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ตอนแรกแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังชี้มูลอีกว่ามีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 มาทั้งมาตราด้วย อีกทั้งได้ชี้มูลอีกว่า มีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 อีกด้วย
ตามคำสั่งให้ไต่สวนข้อเท็จจริง บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะในรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง ที่ระบุว่า “…ในการดำเนินโครงการปรากฏว่าได้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสวมสิทธิ์เกษตรกร โกงความชื้น โกงตาชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐ และภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมาก…”รวมถึงมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดกรณีนี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาล
โดยเพิกเฉยละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นตามอำนาจหน้าที่ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียงว่า การกระทำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งการกระทำไว้ครอบคลุมชัดเจน รวมทั้งแจ้งข้อหาให้ทราบโดยชอบ และได้มีมติชี้มูลความผิดอาญาแก่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ในทั้งสองฐานความผิดมาโดยชอบแล้ว ขณะเดียวกันมาตรา 123/1 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. เป็นการบัญญัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของสหประชาชาติฯ (UN) มาจากหลัก Abuse of Power หรือ Abuse of function เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกเฉยต่อการใช้อำนาจหรือใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ อันถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ สอดคล้องกับที่ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. (ขณะนั้น) เบิกความไว้ต่อศาลเมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่ปรากฏแจ้งชัดดังกล่าวแล้ว เห็นว่า อสส. มีอำนาจฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามกฎหมาย และได้บรรยายฟ้องครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายทุกประการแล้วเช่นกัน ข้ออ้างที่ น.ส.ยิ่งลักณ์ ต่อสู้มาจึงหาฟังขึ้นไม่ ส่วนที่อ้างคำให้สัมภาษณ์ ศ.พิเศษ วิชา หรือนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำนองว่า ประเด็นทุจริตไม่เกี่ยวนั้น เป็นความเข้าใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอง และเป็นการพูดนอกศาลโดยไม่ได้ยืนยันแน่ชัดประการใด ที่สำคัญ ศ.พิเศษ วิชา ได้เบิกความยืนยันด้วยตัวเองต่อศาลในประเด็นนี้ว่า
มีการแจ้งข้อหาและได้ชี้มูล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ทุจริตด้วย และ ศ.พิเศษ วิชา เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ ในคดีนี้ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาก่อน จึงไม่มีเหตุผลที่จะมาเบิกความเพื่อเป็นผลร้ายแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ข้อต่อสู้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งหมดในประเด็นนี้ จึงไม่มีเหตุผลให้รับฟังผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค. 2560 ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
สำนักข่าววิหคนิวส์