เมื่อ 3 เดือนก่อน นายซิสโก กราเซีย ครูสอนวิชาภูมิศาสตร์ชาวสเปนวัย 54 ปี ผู้รักการดำน้ำสำรวจโลกใต้ทะเลเป็นชีวิตจิตใจ รวบรวมอุปกรณ์ดำน้ำที่มีทั้งหมดไปยังเกาะมายอร์กา (Mallorca) สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของสเปนซึ่งมีเครือข่ายถ้ำใต้น้ำที่กว้างใหญ่ซับซ้อน แต่มีความงดงามชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง เขาตั้งใจว่าจะลงไปสำรวจทำแผนที่ของถ้ำใต้น้ำที่เชื่อมต่อกันเป็นเสมือนเขาวงกตแห่งนี้ให้สำเร็จ
BBC – เมื่อ 17 กรกฎาคม 2560 นายกราเซียและเพื่อนอีกคนคือนายกีเยม มาสคาโร ซึ่งจะเป็นบัดดี้หรือคู่หูในการดำน้ำเที่ยวนี้ ได้ลงสำรวจถ้ำใต้น้ำแห่งหนึ่งที่คดเคี้ยวและมีห้องแยกย่อยออกไปด้านในหลายห้อง นายกราเซียง่วนอยู่กับการเก็บตัวอย่างหินในถ้ำ ส่วนนายมาสคาโรได้แยกไปทำแผนที่สำรวจที่อีกห้องหนึ่ง
เวลาผ่านไปนานพอสมควร นายกราเซียตัดสินใจกลับไปยังจุดเริ่มสำรวจ ซึ่งตั้งอยู่ที่ทางแยกระหว่างห้องในถ้ำ แต่ให้บังเอิญว่านายมาสคาโรก็กลับมายังจุดเดียวกันในเวลาเดียวกัน ทั้งสองชนกันเข้าอย่างจัง ทำให้ตะกอนในถ้ำใต้น้ำฟุ้งกระจายขึ้นจนมองอะไรไม่เห็น เชือกนำทางซึ่งจะช่วยพาพวกเขาไปยังทางออกก็ขาดหรือไม่ก็หลุดหายไปเสียแล้ว พวกเขาพยายามคลำหาเชือกนี้ทั้งที่มองอะไรไม่เห็นอยู่นาน แต่ก็ไม่พบ
สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏ เมื่อทั้งสองต่างใช้ออกซิเจนสำหรับหายใจที่เตรียมมาพอแค่การเดินทางเข้าออกถ้ำเที่ยวนี้จนหมด แถมยังใช้ออกซิเจนสำรองฉุกเฉินไปมากแล้วด้วย จะทำอย่างไรกันดี ?
ทันใดนั้นนายกราเซียนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินจากนักดำน้ำคนอื่นว่ามีห้องหนึ่งในถ้ำที่มีช่องว่างเก็บอากาศเหนือน้ำ (air pocket) ซึ่งอาจจะพอใช้อาศัยหายใจต่อไปได้เมื่อออกซิเจนหมด พวกเขาพากันแหวกว่ายไปที่ห้องนั้น แต่ก็พบว่ามีอากาศพอสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
นายกราเซียตัดสินใจทันทีว่า เขาจะรออยู่ที่ห้องในถ้ำนี้และให้นายมาสคาโรใช้ออกซิเจนที่เหลือทั้งหมดกลับออกไปภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาให้เหตุผลว่าที่ตัดสินใจเช่นนั้นเพราะนายมาสคาโรตัวผอมเล็กกว่า ซึ่งเท่ากับจะใช้ออกซิเจนในการดำน้ำกลับออกไปน้อยกว่า ส่วนตัวเขาเหมาะที่จะเป็นฝ่ายรออยู่ เพราะมีประสบการณ์ในการหายใจด้วยอากาศในถ้ำซึ่งมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูง มากกว่านายมาสคาโร
เมื่อเพื่อนจากไปแล้ว นายกราเซียเริ่มสำรวจห้องแห่งนั้นซึ่งมีขนาดกว้างยาวราว 80X20 เมตร และมีเพดานสูงเหนือระดับน้ำราว 12 เมตร เขายังพบว่ามีแผ่นหินเรียบที่เขาสามารถขึ้นจากน้ำไปนั่งพักได้ และพบว่ามีน้ำจืดไหลซึมลงมาในถ้ำส่วนนั้นที่ใช้ดื่มได้ด้วย เขาต้องนั่งรออยู่ในความมืด เพราะแสงจากไฟฉายกระบอกสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้นเริ่มริบหรี่เต็มที
ในระหว่างการรอคอยอันยาวนาน นายกราเซียเฝ้าถามตัวเองว่าเหตุใดเขาจึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ทั้งที่มีประสบการณ์ดำน้ำมานานหลายปี ในช่วง 7-8 ชั่วโมงแรกเขายังมีกำลังใจดีอยู่ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มกังวลและคิดไปต่าง ๆ นานา “ผมกลัวว่าเพื่อนอาจหลงทางและกลับออกไปไม่สำเร็จ เขาอาจตายเสียแล้ว ส่วนตัวผมก็จะต้องตายอยู่ในนี้โดยไม่มีใครรู้” นายกราเซียกล่าว
แม้ต่อมาจะพยายามสงบใจลงได้ แต่นายกราเซียกลับเริ่มปวดหัวและรู้สึกเบลอ ทั้งไม่สามารถนอนหลับได้ เนื่องจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในถ้ำที่สูงถึง 5% เมื่อเทียบกับอากาศภายนอกที่มีเพียง 0.04% กำลังออกฤทธิ์เป็นพิษจนทำให้เขาเหนื่อยล้าและเริ่มเห็นภาพหลอน เขาเห็นแสงสว่างและฟองอากาศที่คล้ายกับมีทีมนักประดาน้ำมาช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเขาก็รู้ได้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ว่านานเท่าใด นายกราเซียได้ยินเสียงดังเหมือนเครื่องจักรขุดเจาะหินที่เหนือศีรษะของเขา และยังได้ยินเสียงเหมือนนักประดาน้ำนำถังออกซิเจนมาเติมอากาศอีกด้วย เสียงนี้ทำให้เขาดีใจสุดขีดและคิดว่ากำลังจะมีคนมาช่วยแน่ ๆ แต่ครู่ใหญ่เสียงทั้งหมดก็เงียบไป ทิ้งให้เขาอยู่กับความมืดมิดและความผิดหวังอีกครั้ง
“ผมตัดสินใจว่ายน้ำไปเอามีดมาจากกองอุปกรณ์ที่ถอดทิ้งไว้อีกมุมหนึ่ง คิดว่าถ้าถึงคราวหมดหวังจริง ๆ แล้ว ผมอาจต้องเลือกทำให้ตัวเองจากโลกนี้ไปโดยเร็ว ดีกว่าจะต้องตายอย่างช้า ๆ ต้องทนทรมานขาดทั้งอากาศหายใจและขาดอาหารอยู่ในห้องนี้”
แต่เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น นายกราเซียกลับมองเห็นลำแสงที่ส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ฉายเข้ามาในห้อง ทั้งได้ยินเสียงฟองอากาศของนักประดาน้ำดังขึ้นอย่างชัดเจน เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นภาพหลอนเหมือนกับคราวก่อน แต่ในที่สุดเขาก็ได้เห็นหมวกของนักประดาน้ำโผล่ขึ้นมา คน ๆ นั้นที่มาอยู่ตรงหน้า คือนายเบอร์แนต คลามอร์ เพื่อนเก่าของเขานั่นเอง
“ผมกระโดดลงน้ำโผเข้ากอดเพื่อนทันที เขารีบถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง เพราะก่อนหน้านี้เขากลัวว่าผมจะตายไปเสียก่อนแล้ว” นายกราเซียกล่าว
ปฏิบัติการช่วยนำตัวนายกราเซียออกจากถ้ำใต้น้ำ ดำเนินต่อไปอีกถึง 8 ชั่วโมง เขามารู้ในภายหลังว่านายมาสคาโรออกจากถ้ำไปขอความช่วยเหลือได้สำเร็จ แต่ทีมกู้ภัยทำงานได้ช้าและยากลำบาก เพราะสภาพน้ำขุ่นจัดทำให้วันแรกไม่สามารถลงประดาน้ำได้ วันต่อมามีการพยายามขุดเจาะหินเหนือส่วนของถ้ำที่เขาอยู่เพื่อหวังจะส่งอาหารและน้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน นายกราเซียต้องอยู่ในถ้ำใต้น้ำเป็นเวลาทั้งหมด 60 ชั่วโมง กว่าที่จะได้กลับออกมาเห็นแสงสว่างเหนือพื้นดินอีกครั้ง
เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำ และต้องหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าปอดอยู่หนึ่งคืน แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่เข็ดขยาดกับการผจญภัยใต้น้ำ หนึ่งเดือนหลังจากนั้นเขากลับไปที่ถ้ำใต้น้ำดังกล่าวอีก และยังไปดูห้องที่เขาเคยติดอยู่นานกว่าสองวันอีกครั้งด้วย
“ในเวลาที่ดำน้ำ คุณต้องควบคุมสติอารมณ์ของตนเองไว้ให้ดี แต่ถึงขนาดนั้นก็เถอะ วันต่อมาหลังออกจากถ้ำได้แล้ว ผมได้ดูข่าวปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อช่วยเหลือตัวผมในโทรทัศน์ ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาเลย รู้สึกขอบคุณทุกคนจริง ๆ” นายกราเซียกล่าว
ทีมข่าว สำนักข่าว vihok news รายงาน