23 กรกฎาคม 2560 นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย
กล่าวถึงคดีจำนำข้าวที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดชี้ชะตาในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ว่า เชื่อว่าในวันที่ 1 ส.ค.ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไปแถลงปิดคดีด้วยวาจา และในวันที่ 25 ส.ค.ที่เป็นวันนัดฟังคำพิพากษา จะมีกองเชียร์ไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากเป็นพิเศษ จึงน่าเป็นห่วงในเรื่องการดูแลสถานการณ์ให้เกิดความสงบเรียบร้อยของรัฐบาล
แนวหน้า – ทั้งนี้ ไม่ว่าผลของคดีจะเป็นไปในทิศทางใด ย่อมจะมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะในประเด็นของโครงการรับจำนำข้าว ที่มีความเห็นที่แตกต่างในสังคมมาตลอด ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ คสช.ใช้อ้างเมื่อครั้งเข้ามายึดอำนาจการปกครอง ทั้งในเรื่องการทุจริต และความแตกแยกในสังคม แต่ คสช.ที่มีอำนาจและเวลาล้นเหลือ กลับปล่อยให้เลยเถิดบานปลายมาถึงปัจจุบัน ทั้งที่สังคม และ คสช.เองก็มีข้อมูลรับรู้อยู่ว่าใครบ้างที่กระทำผิด หรือใครทุจริต หากกล้าหาญและใช้อำนาจทำให้เรื่องจบไปตั้งแต่ต้น คงไม่เป็นเช่นนี้ ที่มีหลายฝ่ายมองว่า คสช.จ้องที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม หรือพูดให้ชัดคือ กลุ่มของพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง แต่ฝ่ายเดียว ทำให้ตอนนี้จากกระแสที่เคยสนับสนุน คสช.เข้ามาสะสางปัญหาบ้านเมือง กลายเป็นกระแสตีกลับที่เห็นใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคนในเครือข่าย ที่ถูกกระทำจากระบวนการที่มองว่าไม่เป็นธรรม
“ตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมาของ คสช.ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในเรื่องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนการไม่กล้าใช้อำนาจที่มีทำให้ความขัดแย้ง แตกแยกทางความคิดลดลงแต่อย่างใด ซ้ำร้ายยังยิ่งลุกลามบานปลายอีกด้วย ทั้งที่ คสช.ควรจะใช้อำนาจที่มี จัดการทำให้เรื่องต่างๆจบลงได้ง่ายโดยเร็ว” นายอุเทน กล่าว
นายอุเทน กล่าวด้วยว่า ไม่เพียงแต่ความแตกแยกในสังคมเท่านั้น ในประเด็นการปราบปรามการทุจริตก็ยังไม่มีความคืบหน้า หรือผลสัมฤทธิ์ใดๆให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคดีของรัฐบาลเก่า ทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และย้อนไปถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนหน้านั้น ที่สำคัญในรัฐบาล คสช.เองก็มีข้อมูลการทุจริตหาประโยชน์ในทางไม่ชอบของรัฐบาลออกมาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ คสช.ก็ใช้อำนาจในมือเพียงแค่การตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆมากมาย ที่ไม่มีผลงานใดๆเป็นรูปธรรมออกมา อีกทั้งหน่วยงานตรวจสอบในระบบ ทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ทำหน้าที่ในลักษณะเกรงใจผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ไม่มีตรวจสอบโครงการใดของรัฐบาลชุดนี้อย่างจริงจัง และอีกหลายโครงการก็มีผลการตรวจสอบออกมาในลักษณะค้านสายตาประชาชนเป็นอย่างมาก ผลที่ได้จากการที่ คสช.เข้ามาจัดเรื่องความขัดแย้งในสังคม และการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงมีเพียงการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากและเกินความจำเป็น สำหรับการทำงานของคณะกรรมการชุดต่างๆที่ตั้งขึ้นมาใหม่ชุดแล้วชุดเล่าเท่านั้น ซึ่งก็เข้าข่ายการคอร์รัปชั่นโดยทางอ้อม เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยไร้ประสิทธิภาพ
“เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.จำเป็นต้องไตร่ตรองการใช้อำนาจในการบริหารของตนเองและของ คสช.โดยด่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ ทั้งในเรื่องการปราบโกง หรือการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง หากปล่อยโดยไม่ทำอะไรเช่นนี้แล้ว เมื่อมีการเลือกตั้งขึ้น ผมก็กล้าทำนายได้เลยว่ารัฐบาลชุดหน้าจะไม่มีคนใน คสช.เข้ามามีส่วนร่วม หรือนายกฯคนต่อไปจะไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างที่เคยคาดการณ์” นายอุเทน กล่าว
ต้นฉบับ http://www.naewna.com/politic/282277