3 ส.ค.60 ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ได้เขียนบทความระบุว่า ถึงเวลาแล้วต้องเคลื่อนไหว ผมดูเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งแรกที่ แอลเอ สังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง รู้สึกว่าถ้า ในเมืองไทยเป็นอย่างนั้น คงจะมิใช่ไฟไหม้ฟางธรรมดาเสียแล้ว
ผู้คนทั้งนั้นเป็นคนมีระดับ สนใจและมีความรู้เรื่องการเมือง และสามารถหาข้อเท็จจริงมาวินิจฉัยได้
คนไทยต่างแดนได้สัมผัสชีวิตประชาธิปไตย จนเกิดทัศนะเปรียบเทียบถึงเมืองไทย บุคคลเหล่านี้มีโอกาสจะเป็น “กองหน้า” หรือ vanguard ใหม่ของการเมืองไทยได้
MGR online – ผมถึงบ้านไม่กี่วัน ชาวแคลิฟอร์เนียพากันลงประชามติ ล้มข้อเสนอ (propositions) สำคัญๆของผู้ว่าฯมลรัฐ ไทยเรา นอกจากจะไม่ต้องขอความเห็นหรือการอนุมัติจากประชาชน ฝ่ายบริหาร ยังถนัดพฤติกรรมหมกเม็ด “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย”ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนล่วงรู้หรือรับรู้เรื่องสำคัญที่กระทบชีวิตตนหรือบ้านเมือง
ผมเห็นพอลางๆว่า เมืองไทยรายสัปดาห์กำลังจะกลายเป็นปรากฏการณ์ หากกระทบจิตรู้ของประชาชนมากเข้า ก็จะค่อยๆพัฒนาเป็นความเคลื่อนไหว เป็นขบวนการ เป็นองค์การและเป็นสถาบันในที่สุด เหมือนกับการออกเสียงประชามติในคาลิฟอร์เนีย
เกียรติชัย พงศ์พาณิชย์ บรรณาธิการอาวุโสเครือ “มติชน” ว่านี่เป็นลางดี ไม่ควรปฏิเสธสนธิ เพราะเรื่องอย่างนี้สำคัญที่“ความ” มิใช่ที่ “คน” ผมศึกษาการเคลื่อนไหวการเมืองไทยมาก่อนกึ่งพุทธกาล เกรงว่างานนี้ ไม่เจ๊ง ก็ เจ๊า เข้าอีหรอบเดิม เพราะคนไทยไม่สันทัดเคลื่อนไหวแบบประชาธิปไตย
เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2534 ผมพิมพ์บทความนี้ใน “มติชน” การจะเปรียบรัฐบาลทักษิณกับรัฐบาลรสช. ย่อมจะไม่ยุติธรรม แต่อาจจะพูดได้ว่า ไม่ต่างกันนัก คือ ทั้งสองรัฐบาลมีรากเหง้าทางความคิดและสายสัมพันธ์มาจากอำนาจนิยม รัฐบาลรสช.เกิดจาก การยึดอำนาจ 1+การเขียนรัฐธรรมนูญ 2+ การเลือกตั้ง 3 รัฐบาลทักษิณก็เช่นเดียวกัน คือ การยึดอำนาจ + การเขียนรัฐธรรมนูญ + การเลือกตั้ง ต่างกันแต่เพียงว่า ทักษิณมิได้ยึดอำนาจหรือเขียนรัฐธรรมนูญเอง และการทิ้งช่วงระหว่าง 1-2-3 นานกว่าสุจินดา และมีก๊กอื่นมาคั่น แต่ต่างก็ฉวยโอกาสใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือแบบเดียวกัน
หากเราจะตั้งคำถามลึกๆว่า ถ้าสุจินดาไม่มีอำนาจ และทักษิณไม่มีเงิน ทั้งคู่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ คำตอบก็คงชัดแจ้ง ว่าการได้อำนาจ ใช้อำนาจและอยู่ในอำนาจของทักษิณยังอยู่ภายใต้กติกาของการเมืองที่ไม่พัฒนา
ปรากฎการณ์สนธิ หากดูที่ “ความ” มิใช่ที่คน สัญญาณที่เราได้รับก็คือ ประชาชนต้องการให้การเมืองไทยพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ทักษิณจะขัดขวางอย่างไรก็คงไม่สำเร็จ หากไม่เอาด้วย ทักษิณจะอยู่ไม่ได้
นี่คือเหตุผลที่ผมตีพิมพ์บทความอายุ 14 ปี “ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเคลื่อนไหว” ในวงเล็บตัวเอนขีดเส้นใต้เป็นของใหม่
{{{ สืบเนื่องจากความเรียงสั้นเรื่อง รัฐธรรมนูญ รสช. จะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ในแนวหน้า วันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งมีคำตอบ ไม่-แน่ ๆ นั้น(ผมบอกหมอประเวศว่าร.ธ.น.ส.ส.ร.จะไม่เป็นประชาธิปไตยแต่เป็นอภิชนาและธนาธิปไตยกฏหมายมหาชนจะทำให้ รธน..ตกหล่มและเกิดความยุ่งยาก)
ขอเล่าต่อว่า ที่ประชุมในธรรมศาสตร์ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พากันวิตกต่อไปว่าบ้านเมืองก็คงจะหนีไม่พ้นการปฏิวัติรัฐประหารและการเมืองน้ำเน่า ต้องเวียนว่ายอยู่อย่างเดิมอีก อนาคตจึงน่าเป็นห่วง จนกระทั่งคุณหมอประเวศเตือนว่า ระวัง อย่าให้ถึงกับนองเลือด
ถ้าอย่างนั้น สังคมไทยควรมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง เพื่อเคลื่อนตัวไปสู่การมีประชาธิปไตย
ผู้เขียนเสนอว่า คนไทยไม่ควรท้อถอย ควรช่วยกันเคลื่อนไหว และเมืองไทยยังไม่ขาดที่พึ่ง (เดี๋ยวนี้ยิ่งจำเป็น)
บัดนี้ ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญได้ปรากฏโฉม ผ่านคณะกรรมาธิการมาบางส่วน โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งพวงใหญ่เบอร์เดียว ซึ่งไปตรงกับความประสงค์ของผู้บัญชาการทหารอากาศ และพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งตั้งท้องที่ดอนเมือง บังเอิญพรรคนี้กับพวก รสช. มีญาติและมิตรของผู้เขียนอยู่หลายคนเสียด้วย แต่ผู้เขียนก็หาได้พลอยยินดีไปด้วยไม่ เพราะเชื่อว่าที่พรรคและพวกนี้อ้างว่า การเลือกตั้งแบบนี้ส่งเสริมระบบพรรคและประชาธิปไตยนั้นเป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ของคนที่ไม่เข้าใจทั้งระบบพรรคและระบอบประชาธิปไตย ส่วนพรรคอื่น ๆ ก็พากันโวยวาย ก็คงมีไม่น้อยที่คำนึงถึงผลได้เสียเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งผู้เขียนไม่สนใจว่าใครถูกใครผิด แต่สนใจว่าอะไรถูกอะไรผิด และอะไรที่ผิด ๆ ถ้าไม่แก้แล้วประเทศชาติเสียหาย ผู้เขียนก็ไม่ยอม การเลือกตั้งแบบนี้จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของทั้งผู้เลือกผู้สมัคร ซึ่งขัดหลักประชาธิปไตย จะอ้างว่าส่งเสริมระบบพรรคก็ไม่จริง เพราะพรรคนั้นสร้างด้วยวิธีลัด โดยรวบหัวรวบหางเอาคนของพรรคต่าง ๆ ที่คิดไม่เหมือนกัน แล้วเขียนกฎหมายสั่งเอาว่านี่เป็นพรรคไม่ได้ ต้องอาศัยเวลาจึงจะพัฒนา การรวมตัวกันลวก ๆ ชั่วคราวของคนที่ไม่รู้จักไม่เข้าใจธรรมชาติของพรรค ถึงกับซื้อขายย้ายพรรคหรือยอมหรือยกพรรคให้กันอยู่จ้าละหวั่นอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นหัวหน้าเป็นเลขาฯ แสดงว่าไม่เข้าใจระบบพรรคการเมืองเลยแม้แต่น้อย จะมีปัญญาที่ไหนมาสร้างพรรค หากอยู่กันด้วยอำนาจและเงินเป็นของชั่วครู่
เรื่องรัฐธรรมนูญที่ฝืนประชาธิปไตยนี้คงจะมีอีกมาก คนกลาง ๆ อย่างผู้เขียนที่ไม่ฝักใฝ่พรรคใดแต่อยากเห็นประชาธิปไตยเชื่อว่ามีไม่น้อย ไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองตกต่ำกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีใครอยากเห็นการเจ็บปวดล้มตายเพราะคนไทยต้องห้ำหั่นกันเองอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผู้นำไม่กี่คนที่จะมาแย่งชิงสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ และเนื้อเน่า ๆ เพียงไม่กี่ชิ้น โดยอาศัยรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือ
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องเคลื่อนไหว
เคลื่อนไหวโดยสันติวิธี มีทิศทาง และอย่างเป็นระบบ
อย่างไรจึงจะเรียกว่าสันติวิธี สันติวิธีก็คือ วิธีที่สงบเรียบร้อย ไม่ใช้กำลังไม่รุนแรง แม้แต่จะแรงมาก็ไม่แรงตอบ เป็นอวิหิงสา เช่นเดียวกับวิธีการของมหาตมคานธี ใช้ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจและจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์เข้มแข็งอย่างแท้จริง และถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นมิตร เพียงแต่ความคิดไม่ตรงกันจึงเอาความสุจริตใจ และความกล้ามาประสานกัน เป็นการต่อสู้ทางความคิด ความรักและจิตวิญญาณเป็นของสูง มีความยืนยงนิรันดรยิ่งกว่ากาย มีพลังเหนือกว่าพลัง และจะเป็นสิ่งที่ทำให้สัจจะปรากฏ ให้ความถูกต้องดำรง การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจึงไม่ใช่การต่อสู้กับ รสช.(หรือทักษิณ) แท้ที่จริงเป็นการต่อสู้ร่วมกับ รสช.เพื่อให้ รสช. เป็นประชาธิปไตย เพื่อยกจิตวิญญาณ หรือแม้แต่ไถ่บาปให้ รสช. ซึ่ง รสช.ก็ควรจะต้องร่วมมือ (ทักษิณก็เช่นเดียวกัน)
อย่างไรจึงจะเรียกว่ามีทิศทาง มีทิศทางจะต้องเริ่มให้ถูกจุด คือเริ่มในเรื่องที่เป็นหลัก ซึ่งในที่นี้คือหลักประชาธิปไตย หลักสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน และจุดคือแหล่งซึ่งรับผิดชอบ ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน แล้วก็เคลื่อนไหวไปตามทิศทาง คือ จากเล็ก-ไปหาใหญ่ จากน้อย-ไปหามาก จากต่ำ-ไปหาสูง
อย่างไรจึงจะเรียกว่ามีระบบ มีระบบคือไม่ทำโดดเดี่ยว ไม่ทำคนเดียว แต่ทำอย่างเชื่อมโยง เริ่มตั้งแต่บุคคลต่อบุคคล บุคคลต่อกลุ่ม กลุ่มต่อกลุ่ม สมาคมต่อสมาคม จนกระทั่งเป็นสมัชชาใหญ่ เคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน ด้วยกิจกรรมที่ต่อเนื่อง มีพลังและเป็นเอกภาพ
อย่างนี้จึงจะสามารถต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสำเร็จ และป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุที่มิพึงปรารถนาในระหว่างการเคลื่อนไหวได้
ผู้เขียนเป็นห่วงอยู่ข้อหนึ่ง ตรงที่คนไทยไม่สันทัดการเคลื่อนไหวแบบประชาธิปไตย เพราะเราขาดโอกาสที่จะอยู่ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การเคลื่อนไหวโดยสันติอาจจะกลายเป็นการเผชิญหน้า และฝ่ายบ้านเมืองของเราเองก็ขาดประสบการณ์แก้ไขและจัดการวิกฤตอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า crisis management ไม่เป็น มักจะขาดความอดทน หลงผิดว่าพลังอันสงบของประชาชนเป็นม็อบ จึงจะเข้าสลายโดยใช้ม็อบ หรือไม่ก็คิดแต่จะเอากำลังเข้าข่ม การเคลื่อนไหวโดยสันติจึงกลายเป็นรุนแรงไป
ความจริงการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่เบาไปหาหนัก เริ่มจากการแสดงความคิดเห็น ส่งจดหมาย จัดประชุม นั่งประท้วง ชุมนุมประท้วง เดินขบวน จนกระทั่งถึงระดับสุดยอด 2 อย่าง คือ การไม่ร่วมมือหรือไม่เชื่อฟังคำสั่งอย่างทั่วถึง ซึ่งฝรั่งเรียกว่า civil disobedience กับการต่อต้านอย่างสงบ หรือ passive resistance ทั้งหมดนี้เป็นอาวุธของประชาธิปไตย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช้ความรุนแรง ถึงแม้จะใช้การจัดตั้ง และวิธีการบางอย่างคล้ายกัน แต่การเคลื่อนไหวต้องใช้วินัยอย่างสูง ในขณะที่การยุยงให้ประชาชนลุกฮือโค่นล้มรัฐบาล ม้อบหรือสาธารณจลาจลโดยฝูงชนที่ปราศจากความเข้าใจหรือวินัย หรือมีแต่ความเคียดแค้นชิงชังนั้น เป็นอันตรายต่อสันติและประชาธิปไตยพอ ๆ กับรัฐบาลที่กดขี่ เราไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองไทยตกอยู่ในสภาพ 2 ประการหลังนี้ เราจึงต้องเคลื่อนไหว
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเคลื่อนไหวให้ รสช.(ทักษิณและทรท)รู้ว่า คนไทยเข้าใจว่าอะไรคือประชาธิปไตย อะไรไม่ใช่ประชาธิปไตย
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเคลื่อนไหวให้สภานิติบัญญัติแก้ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่เอาร่างของคณะกรรมาธิการ
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องเคลื่อนไหวให้รัฐบาลและ รสช.(ทักษิณ)ฟังเสียงราษฎร โดยถามความคิดเห็นและทัศนคติเกี่ยวกับประเด็นและทางเลือกต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญ
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะเคลื่อนไหวให้คนไทยมีสิทธิออกเสียงลงประชามติรัฐธรรมนูญ
บัดนี้ ถึงเวลาที่คนไทยจะเคลื่อนไหวและเริ่มคิดได้แล้วถึงการทูลเกล้าถวายฎีกาขอพึ่งพระบารมีในหลวง ถ้าหากเมื่อใดรู้ว่าสมควรและมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพราะบ้านเมืองจะถึงทางตัน (มีวิธีที่สอดคล้องกับรธน.และหลักพระมหากษัตริย์ประชาธิปไตย) ในวันพระราชทานธงชัยเฉลิมพลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ด้วยชีวิต
บัดนี้ ถึงเวลาที่คนไทยจะเคลื่อนไหวได้แล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า การรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นจะต้องกระทำให้สอดคล้องกันทั้งการปฏิบัติ และการปฏิญาณ และนั่นเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน(ถ้าเคลื่อนไหวเป็นจะไม่นองเลือดและได้เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่รัฐบาลอานันท์ 2 แล้ว)
การปฏิวัติรัฐประหารและการยึดอำนาจการปกครองด้วยกำลังนั่นเองเป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
บัดนี้ ถึงเวลาที่คนไทยจะเคลื่อนไหวได้แล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความสามารถและเด็ดเดี่ยวพอที่จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อไปอีก (ขณะนี้หลายคนกำลังทำลายอยู่โดยมิได้ตั้งใจ?/) }}}
สำนักข่าววิหคนิวส์