ข่าวประจำวัน » ตาสว่างได้แล้ว !! พลเอกกิตติชี้ บริหารจัดการแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดแผ่นดินไหวใหญ่

ตาสว่างได้แล้ว !! พลเอกกิตติชี้ บริหารจัดการแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพหากเกิดแผ่นดินไหวใหญ่

29 March 2025
40   0

พลเอกกิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่4 โพสต์ว่า..

ที่นี่ประเทศไทย

#แลหลังกับแม่ทัพกิตติ

#การบริหารและจัดการเรื่องแผ่นดินไหว

เพื่อให้การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงปฏิบัติการและเชิงวิชาการ มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาในหลายด้านดังนี้:

ในทางการจัดการ (Operational Management):

  1. การปฏิบัติการฉุกเฉินทันที (Immediate Emergency Response):
    • การค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue – SAR): จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยดับเพลิง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร
    • การปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน (First Aid and Emergency Medical Care): จัดตั้งจุดพยาบาลชั่วคราวและระดมทีมแพทย์ พยาบาล และเวชภัณฑ์เพื่อดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วน คัดกรองผู้ป่วยและลำเลียงไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม
    • การอพยพและการจัดตั้งศูนย์พักพิง (Evacuation and Shelter Management): อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม สุขอนามัย และความปลอดภัย
    • การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมสถานการณ์ (Security and Situation Control): รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันการโจรกรรม และควบคุมการเข้าออกพื้นที่ประสบภัย
    • การสื่อสารและประสานงาน (Communication and Coordination): สร้างระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ
  2. การประเมินความเสียหายเบื้องต้น (Initial Damage Assessment):
    • การสำรวจทางอากาศและภาคพื้นดิน (Aerial and Ground Surveys): ประเมินขอบเขตและความรุนแรงของความเสียหายต่ออาคาร โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่ต่างๆ
    • การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติม (Identification of Additional Hazard Zones): ตรวจสอบความเสี่ยงของอาฟเตอร์ช็อก ดินถล่ม หรือภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจตามมา
    • การจัดลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือ (Prioritization of Assistance): กำหนดพื้นที่และกลุ่มประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด
  3. การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Aid):
    • การแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น (Distribution of Food, Water, and Essential Supplies): จัดหาและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึงและยุติธรรม
    • การดูแลด้านสุขอนามัย (Hygiene and Sanitation Management): จัดการเรื่องสุขา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการกำจัดขยะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
    • การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม (Psychological and Social Support): จัดให้มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อให้การเยียวยาจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
  4. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Rehabilitation):
    • การซ่อมแซมและสร้างใหม่ของถนน สะพาน และระบบขนส่ง (Repair and Reconstruction of Roads, Bridges, and Transportation Systems): เพื่อให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยและการขนส่งสิ่งของจำเป็นเป็นไปได้
    • การฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ประปา และการสื่อสาร (Restoration of Electricity, Water Supply, and Communication Systems): เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
    • การตรวจสอบและซ่อมแซมอาคาร (Building Inspection and Repair): ประเมินความแข็งแรงของอาคาร และดำเนินการซ่อมแซมหรือรื้อถอนตามความเหมาะสม
  5. การจัดการข้อมูลและการสื่อสารในระยะยาว (Long-Term Data Management and Communication):
    • การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลความเสียหาย (Collection and Analysis of Damage Data): เพื่อใช้ในการวางแผนการฟื้นฟูในระยะยาวและการป้องกันในอนาคต
    • การสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง (Continuous Communication with the Public): แจ้งความคืบหน้าในการฟื้นฟู และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนต่างๆ ที่มี

ในทางวิชาการ (Academic Perspective):

  1. การประเมินความเสียหายอย่างละเอียด (Detailed Damage Assessment):
    • การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Utilization): เช่น การใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลจากโดรน หรือแบบจำลองสามมิติ เพื่อประเมินความเสียหายอย่างแม่นยำและครอบคลุม
    • การวิเคราะห์โครงสร้างและวัสดุศาสตร์ (Structural and Materials Science Analysis): ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างอาคารและวัสดุ เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการพังทลายและปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างในอนาคต
    • การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment): วิเคราะห์ผลกระทบของแผ่นดินไหวต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ และภูมิประเทศ
  2. แนวโน้มในอนาคต (Future Trends):
    • การคาดการณ์ความเสี่ยงแผ่นดินไหว (Earthquake Risk Prediction): ศึกษาข้อมูลทางธรณีวิทยา ประวัติการเกิดแผ่นดินไหว และปัจจัยอื่นๆ เพื่อประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต
    • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อภัยพิบัติ (Climate Change and Disaster Impacts): วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลต่อความถี่และความรุนแรงของแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่นๆ อย่างไร
    • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการรับมือภัยพิบัติ (Development of Disaster Preparedness Technologies and Innovations): ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรับมือกับแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  3. ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ (Academic Recommendations):
    • การปรับปรุงกฎหมายและมาตรฐานการก่อสร้าง (Improvement of Building Codes and Standards): Based on the damage assessment and future risk analysis, recommend revisions to building codes and construction practices to enhance earthquake resistance.
    • การพัฒนาแผนการจัดการภัยพิบัติที่ครอบคลุม (Development of Comprehensive Disaster Management Plans): สร้างแผนที่ระบุบทบาทและความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ
    • การส่งเสริมการศึกษาและการตระหนักรู้ของประชาชน (Promotion of Public Education and Awareness): ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว วิธีการป้องกันตนเอง และการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
    • การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Research and Development): สนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวและพัฒนาแนวทางการรับมือที่ดีที่สุด
    • การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต (Learning from Past Experiences): ศึกษาบทเรียนจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งก่อนๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงแนวทางการจัดการ

ข้อสรุป (Conclusion):

การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ต้องอาศัยความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชน โดยมีหลักการสำคัญคือ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การประเมินความเสียหายที่แม่นยำ การให้ความช่วยเหลือที่ตรงจุด และการวางแผนฟื้นฟูในระยะยาว ทั้งในทางการจัดการและทางวิชาการ การนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการประเมินความเสี่ยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทาน และเสริมสร้างความตระหนักรู้ของประชาชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบและความสูญเสียจากแผ่นดินไหวในอนาคตเพื่อให้การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงปฏิบัติการและเชิงวิชาการ มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาในหลายด้านดังนี้:

ในทางการจัดการ (Operational Management):

  1. การปฏิบัติการฉุกเฉินทันที (Immediate Emergency Response):
    • การค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue – SAR): จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยดับเพลิง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร
    • การปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน (First Aid and Emergency Medical Care): จัดตั้งจุดพยาบาลชั่วคราวและระดมทีมแพทย์ พยาบาล และเวชภัณฑ์เพื่อดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วน คัดกรองผู้ป่วยและลำเลียงไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม
    • การอพยพและการจัดตั้งศูนย์พักพิง (Evacuation and Shelter Management): อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม สุขอนามัย และความปลอดภัย
    • การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมสถานการณ์ (Security and Situation Control): รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันการโจรกรรม และควบคุมการเข้าออกพื้นที่ประสบภัย
    • การสื่อสารและประสานงาน (Communication and Coordination): สร้างระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ
  2. การประเมินความเสียหายเบื้องต้น (Initial Damage Assessment):
    • การสำรวจทางอากาศและภาคพื้นดิน (Aerial and Ground Surveys): ประเมินขอบเขตและความรุนแรงของความเสียหายต่ออาคาร โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่ต่างๆ
    • การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติม (Identification of Additional Hazard Zones): ตรวจสอบความเสี่ยงของอาฟเตอร์ช็อก ดินถล่ม หรือภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจตามมา
    • การจัดลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือ (Prioritization of Assistance): กำหนดพื้นที่และกลุ่มประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด
  3. การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Aid):
    • การแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น (Distribution of Food, Water, and Essential Supplies): จัดหาและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึงและยุติธรรม
    • การดูแลด้านสุขอนามัย (Hygiene and Sanitation Management): จัดการเรื่องสุขา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการกำจัดขยะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
    • การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม (Psychological and Social Support): จัดให้มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อให้การเยียวยาจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
  4. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Rehabilitation):
    • การซ่อมแซมและสร้างใหม่ของถนน สะพาน และระบบขนส่ง (Repair and Reconstruction of Roads, Bridges, and Transportation Systems): เพื่อให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยและการขนส่งสิ่งของจำเป็นเป็นไปได้
    • การฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ประปา และการสื่อสาร (Restoration of Electricity, Water Supply, and Communication Systems): เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
    • การตรวจสอบและซ่อมแซมอาคาร (Building Inspection and Repair): ประเมินความแข็งแรงของอาคาร และดำเนินการซ่อมแซมหรือรื้อถอนตามความเหมาะสม
  5. การจัดการข้อมูลและการสื่อสารในระยะยาว (Long-Term Data Management and Communication):
    • การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลความเสียหาย (Collection and Analysis of Damage Data): เพื่อใช้ในการวางแผนการฟื้นฟูในระยะยาวและการป้องกันในอนาคต
    • การสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง (Continuous Communication with the Public): แจ้งความคืบหน้าในการฟื้นฟู และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนต่างๆ ที่มี

ในทางวิชาการ (Academic Perspective):

  1. **การประเมินความเสียหายอย่างละเอียด (Detailed Damage Asses