พลเอกกิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่4 โพสต์ว่า..
ที่นี่ประเทศไทย
#แลหลังกับแม่ทัพกิตติ
#การบริหารและจัดการเรื่องแผ่นดินไหว
เพื่อให้การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงปฏิบัติการและเชิงวิชาการ มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาในหลายด้านดังนี้:
ในทางการจัดการ (Operational Management):
- การปฏิบัติการฉุกเฉินทันที (Immediate Emergency Response):
- การค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue – SAR): จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยดับเพลิง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร
- การปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน (First Aid and Emergency Medical Care): จัดตั้งจุดพยาบาลชั่วคราวและระดมทีมแพทย์ พยาบาล และเวชภัณฑ์เพื่อดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วน คัดกรองผู้ป่วยและลำเลียงไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม
- การอพยพและการจัดตั้งศูนย์พักพิง (Evacuation and Shelter Management): อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม สุขอนามัย และความปลอดภัย
- การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมสถานการณ์ (Security and Situation Control): รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันการโจรกรรม และควบคุมการเข้าออกพื้นที่ประสบภัย
- การสื่อสารและประสานงาน (Communication and Coordination): สร้างระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ
- การประเมินความเสียหายเบื้องต้น (Initial Damage Assessment):
- การสำรวจทางอากาศและภาคพื้นดิน (Aerial and Ground Surveys): ประเมินขอบเขตและความรุนแรงของความเสียหายต่ออาคาร โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่ต่างๆ
- การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติม (Identification of Additional Hazard Zones): ตรวจสอบความเสี่ยงของอาฟเตอร์ช็อก ดินถล่ม หรือภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจตามมา
- การจัดลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือ (Prioritization of Assistance): กำหนดพื้นที่และกลุ่มประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด
- การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Aid):
- การแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น (Distribution of Food, Water, and Essential Supplies): จัดหาและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึงและยุติธรรม
- การดูแลด้านสุขอนามัย (Hygiene and Sanitation Management): จัดการเรื่องสุขา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการกำจัดขยะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
- การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม (Psychological and Social Support): จัดให้มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อให้การเยียวยาจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
- การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Rehabilitation):
- การซ่อมแซมและสร้างใหม่ของถนน สะพาน และระบบขนส่ง (Repair and Reconstruction of Roads, Bridges, and Transportation Systems): เพื่อให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยและการขนส่งสิ่งของจำเป็นเป็นไปได้
- การฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ประปา และการสื่อสาร (Restoration of Electricity, Water Supply, and Communication Systems): เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- การตรวจสอบและซ่อมแซมอาคาร (Building Inspection and Repair): ประเมินความแข็งแรงของอาคาร และดำเนินการซ่อมแซมหรือรื้อถอนตามความเหมาะสม
- การจัดการข้อมูลและการสื่อสารในระยะยาว (Long-Term Data Management and Communication):
- การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลความเสียหาย (Collection and Analysis of Damage Data): เพื่อใช้ในการวางแผนการฟื้นฟูในระยะยาวและการป้องกันในอนาคต
- การสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง (Continuous Communication with the Public): แจ้งความคืบหน้าในการฟื้นฟู และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนต่างๆ ที่มี
ในทางวิชาการ (Academic Perspective):
- การประเมินความเสียหายอย่างละเอียด (Detailed Damage Assessment):
- การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology Utilization): เช่น การใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลจากโดรน หรือแบบจำลองสามมิติ เพื่อประเมินความเสียหายอย่างแม่นยำและครอบคลุม
- การวิเคราะห์โครงสร้างและวัสดุศาสตร์ (Structural and Materials Science Analysis): ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างอาคารและวัสดุ เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการพังทลายและปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างในอนาคต
- การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment): วิเคราะห์ผลกระทบของแผ่นดินไหวต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ และภูมิประเทศ
- แนวโน้มในอนาคต (Future Trends):
- การคาดการณ์ความเสี่ยงแผ่นดินไหว (Earthquake Risk Prediction): ศึกษาข้อมูลทางธรณีวิทยา ประวัติการเกิดแผ่นดินไหว และปัจจัยอื่นๆ เพื่อประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อภัยพิบัติ (Climate Change and Disaster Impacts): วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลต่อความถี่และความรุนแรงของแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่นๆ อย่างไร
- การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการรับมือภัยพิบัติ (Development of Disaster Preparedness Technologies and Innovations): ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และรับมือกับแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ (Academic Recommendations):
- การปรับปรุงกฎหมายและมาตรฐานการก่อสร้าง (Improvement of Building Codes and Standards): Based on the damage assessment and future risk analysis, recommend revisions to building codes and construction practices to enhance earthquake resistance.
- การพัฒนาแผนการจัดการภัยพิบัติที่ครอบคลุม (Development of Comprehensive Disaster Management Plans): สร้างแผนที่ระบุบทบาทและความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ
- การส่งเสริมการศึกษาและการตระหนักรู้ของประชาชน (Promotion of Public Education and Awareness): ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว วิธีการป้องกันตนเอง และการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
- การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Research and Development): สนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวและพัฒนาแนวทางการรับมือที่ดีที่สุด
- การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต (Learning from Past Experiences): ศึกษาบทเรียนจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งก่อนๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงแนวทางการจัดการ
ข้อสรุป (Conclusion):
การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ต้องอาศัยความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชน โดยมีหลักการสำคัญคือ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การประเมินความเสียหายที่แม่นยำ การให้ความช่วยเหลือที่ตรงจุด และการวางแผนฟื้นฟูในระยะยาว ทั้งในทางการจัดการและทางวิชาการ การนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการประเมินความเสี่ยง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทาน และเสริมสร้างความตระหนักรู้ของประชาชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบและความสูญเสียจากแผ่นดินไหวในอนาคตเพื่อให้การบริหารและจัดการหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเชิงปฏิบัติการและเชิงวิชาการ มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาในหลายด้านดังนี้:
ในทางการจัดการ (Operational Management):
- การปฏิบัติการฉุกเฉินทันที (Immediate Emergency Response):
- การค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue – SAR): จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยดับเพลิง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร
- การปฐมพยาบาลและการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน (First Aid and Emergency Medical Care): จัดตั้งจุดพยาบาลชั่วคราวและระดมทีมแพทย์ พยาบาล และเวชภัณฑ์เพื่อดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วน คัดกรองผู้ป่วยและลำเลียงไปยังสถานพยาบาลที่เหมาะสม
- การอพยพและการจัดตั้งศูนย์พักพิง (Evacuation and Shelter Management): อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ดูแลเรื่องอาหาร น้ำดื่ม สุขอนามัย และความปลอดภัย
- การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมสถานการณ์ (Security and Situation Control): รักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันการโจรกรรม และควบคุมการเข้าออกพื้นที่ประสบภัย
- การสื่อสารและประสานงาน (Communication and Coordination): สร้างระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ
- การประเมินความเสียหายเบื้องต้น (Initial Damage Assessment):
- การสำรวจทางอากาศและภาคพื้นดิน (Aerial and Ground Surveys): ประเมินขอบเขตและความรุนแรงของความเสียหายต่ออาคาร โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่ต่างๆ
- การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติม (Identification of Additional Hazard Zones): ตรวจสอบความเสี่ยงของอาฟเตอร์ช็อก ดินถล่ม หรือภัยพิบัติอื่นๆ ที่อาจตามมา
- การจัดลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือ (Prioritization of Assistance): กำหนดพื้นที่และกลุ่มประชากรที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด
- การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Aid):
- การแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็น (Distribution of Food, Water, and Essential Supplies): จัดหาและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึงและยุติธรรม
- การดูแลด้านสุขอนามัย (Hygiene and Sanitation Management): จัดการเรื่องสุขา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการกำจัดขยะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
- การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม (Psychological and Social Support): จัดให้มีนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อให้การเยียวยาจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
- การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Rehabilitation):
- การซ่อมแซมและสร้างใหม่ของถนน สะพาน และระบบขนส่ง (Repair and Reconstruction of Roads, Bridges, and Transportation Systems): เพื่อให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยและการขนส่งสิ่งของจำเป็นเป็นไปได้
- การฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ประปา และการสื่อสาร (Restoration of Electricity, Water Supply, and Communication Systems): เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- การตรวจสอบและซ่อมแซมอาคาร (Building Inspection and Repair): ประเมินความแข็งแรงของอาคาร และดำเนินการซ่อมแซมหรือรื้อถอนตามความเหมาะสม
- การจัดการข้อมูลและการสื่อสารในระยะยาว (Long-Term Data Management and Communication):
- การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลความเสียหาย (Collection and Analysis of Damage Data): เพื่อใช้ในการวางแผนการฟื้นฟูในระยะยาวและการป้องกันในอนาคต
- การสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง (Continuous Communication with the Public): แจ้งความคืบหน้าในการฟื้นฟู และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนต่างๆ ที่มี
ในทางวิชาการ (Academic Perspective):
- **การประเมินความเสียหายอย่างละเอียด (Detailed Damage Asses