“สมชาย – ชาญชัย – เจษฎ์ ” ยื่น ป.ป.ช. ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ถอดถอน “ครม.เศรษฐา – แพทองธาร” พ่วง “สส.- สว” ชุดปัจจุบัน ฐานกระทำผิดปรับงบปี 68 ที่ต้องใช้หนี้ มาแจกเงินหมื่น โครงการดิจิทัล วอลเล็ต
วันนี้ (25 เม.ย.2568) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษา กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ และนายนิติธร ล้ำเหลือ นักเคลื่อนไหว เข้ายื่นคำร้องต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เป็นความปรากฏเพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถอดถอน คณะรัฐมนตรี สส. และ สว. หลังพบว่า กระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ม.144 และ ม.88 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
นายชาญชัย ระบุว่า ตรวจสอบพบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 หลังจากผ่านวาระแรกไปแล้ว ครม.กลับมีมติตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่เป็นส่วนของการเงินชำระเงินต้นของเงินกู้ และเป็นเงินกู้ตาม ม.28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว จากนั้นได้นำเงินงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ปรับลดมาแล้วไปเป็นงบกลางเพื่อใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต
นอกจากนี้ ยังพบว่า สส.จำนวน 309 คน รวมไปถึง สว.จำนวน 175 คน ที่ร่วมโหวตผ่านงบประมาณปี 2568 ในวาระ 2 และวาระ 3 รวมไปถึงคณะกรรมาธิการงบประมาณปี 68 ทั้งหมด 72 คน ได้ร่วมการกระทำความผิด แต่ญัตติงบประมาณในชั้นกรรมาธิการ นำเงินจากงบกลาง จำนวน 1256 ล้านบาท มาเพิ่มให้กองทุนเพื่อผู้ที่เคยเป็นสาชิกรัฐสภาด้วย ถือ เป็นการกระทำผิด ม.144 วรรค 2 ที่ห้าม สส.หรือ สว.แปรญัตติงบเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
จึงขอให้ ป.ป.ช.เร่งตรวจสอบในทางลับ โดยหากเห็นว่ามีมูล ก็ให้เสนอความเห็นต่อศาลฯดำเนินการตาม วรรค 3 ของ ม.144 ของรัฐธรรมนูญ พร้อมเรียกเงินงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท จากผู้กระทำความผิดส่งคืนรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไปภายใน 20 ปี
ขณะที่ นายเจษฎ์ ระบุว่า เรื่องดังกล่าว หาก ป.ป.ช.เห็นว่า มีมูลก็สามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยกรณีนี้เอง ซึ่งการดำเนินการของ ป.ป ช.คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ หากอ้างอิงตามคำร้องของสส. และ สว.ก็น่าจะพิจารณาภายใน 15 วัน
นอกจากนี้ ความผิดนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ ครม.ชุดของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ที่มีการแปรญัตติงบประมาณปี 2568 จนถึงชุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แม้จะเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งแต่ก็ได้รับทราบและนำรายชื่อ ครม.ของรัฐบาลขณะนั้นส่งให้สภาฯรับทราบ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่สภาฯ พิจารณาปรับเปลี่ยนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วาระ 2 และ 3 ซึ่งมีการอภิปรายไม่เห็นด้วย กับการที่รัฐบาลสั่งให้ปรับลดงบประมาณยอด 3.5 หมื่นล้านบาท มาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แต่ น.ส.แพทองธาร ไม่สั่งระงับยับยั้ง ส่วน สส.ก็จะเป็นสส.ชุดปัจจุบัน รวมถึง สว.ก็เป็นชุดปัจจุบันด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า พยานหลักฐานที่ยื่นไปจะสามารถเอาผิดได้ นายสมชาย แสวงการ กล่าวว่า ใช้เวลา 5 – 6 เดือนในการศึกษาข้อมูล ซึ่งมีรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการต่าง ๆ รวมถึงมีมติคณะรัฐมนตรี
นายสมชาย ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ แต่ตนเองและนายเจษฎ์ ซึ่งเป็นกรรมาธิการใน พ.ร.บ.ป.ป.ช. ซึ่งเห็นแล้วว่าการใช้งบประมาณผิดประเภท เป็นเรื่องผิดและเคยตักเตือนมาแล้ว
มั่นใจว่า จะสามารถเอาผิดได้แต่ต้องให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย คิดว่าเรื่องดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาประเทศเพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณางบประมาณปี 2569 และการแจกเงินในดิจิทัล วอลเล็ตก็จะมีขึ้นอีกหลายเฟส ทั้งที่ประเทศกำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว จึงหวังว่า จะทำให้เรื่องนี้หยุดและทำให้ถูกต้อง พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการล้างไพ่ แต่ผู้ที่การทำความผิด ก็ควรต้องรับผิด
ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ไม่ยอมส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ ทางกลุ่มก็จะพิจารณาดำเนินการต่อ ส่วนจะเป็นช่องทางใด ขอให้รอฟังป.ป.ช.ก่อน