.
วันนี้ (7 มี.ค.68) นางอังคนา นีละไพจิตร สว. ให้สัมภาษณ์ถึงมติที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) 11 เสียง รับคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษฐานความผิดฟอกเงินว่า ที่แปลกใจคือทำไมคณะกรรมการที่เป็นตำรวจไม่มาประชุมให้ครบ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่และสังคมให้ความสำคัญ จึงทำให้เสียงหายไป มีผลต่อการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ เพราะหากครบองค์ประชุมแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ว่ากันไป และไม่แปลกใจที่ค๊ะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีฟอกเงิน เพราะจากที่ทราบน่าจะมีการพูดคุยกันแล้วในระดับหนึ่ง แต่ในฐานะที่ฟังมาจากประชาชน ถ้าทำมาถึงขนาดนี้แล้วก็ทำให้ต่อให้จริง
ส่วนที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดกันเยอะในหน้าสื่อและโซเชียล ส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะมีการพูดคุยกันเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเมนต์ คิดว่าน่าจะคุยเกี่ยวกับเรื่องคดีนี้
ทั้งนี้ตนเองไม่เห็นด้วยที่ สว.อาจจะมีการยื่นอภิปรายรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 เนื่องจากการตอบโต้ในลักษณะนี้เป็นการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ซึ่งตนเองคัดค้าน แต่ก็เคารพความคิดเห็นของ สว.ส่วนใหญ่ ท่านมีสิทธิที่จะทำได้ อยากให้ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกรมสอบสวนพิเศษ (DSI) หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างไรก็ตามตนเองเป็น 1 ใน 199 คน ที่จะต้องถูกตรวจสอบ ซึ่งก็พร้อม
เมื่อถามว่าคดีที่เป็นการฮั้วที่ กกต.ทำอยู่ จะทันหรือไม่ นางอังคณา ย้อนว่าเรื่องของตนเองมีการสอบถามว่ามีประสบการณ์ 10 ปีจริงหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ค้นในเว็บไซต์ก็เจอ ยังใช้เวลากว่า 7 เดือน และตอนที่ กกต.ออกหมายเรียกไปให้ข้อมูล ตอนนั้นตนเองก็ถามเจ้าหน้าที่ว่า แล้วเรื่องที่มีการซับซ้อนมากกว่านี้รวมถึงใช้เวลามากกว่านี้ จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งก็ได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าคงจะมีการขอขยายเวลา แต่ไม่ทราบว่าจะขอขยายไปได้อีกเท่าไร เพราะตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศรายชื่อของ สว.ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ฉะนั้น กกต.ควรจะรีบเร่งในการดำเนินการ ไม่ควรปล่อยให้ล่าช้าและคลุมเครือไปเรื่อย ๆ
โดยที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าสุดท้ายเรื่องนี้อาจจะหายไปหรือทำไม่ทันนั้น ในกระบวนการยุติธรรม หากมีการกล่าวหาว่ากระทำความผิด กว่าจะมีกระบวนการส่งฟ้องหรือสืบพยานนั้น แล้วเหลือเวลาอีกไม่เท่าไร เผลอ ๆ อาจจะหมดวาระไปแล้ว ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่าหากมีการอั้งยี่กันก็สามารถที่จะสอบต่อไปได้ มองว่าจะมีการนำการ์ดใบนี้ออกมาเล่นเกมการเมืองกันอีก ตนเองก็กังวลว่าอย่าให้เป็นเกมการต่อรอง เพราะหากมีการสืบจากคดีฟอกเงินแล้วพบว่าเป็นการอั้งยี่ แล้วใช้ข้อเท็จจริงเป็นเครื่องต่อรองนั้น สังคมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
แต่หากพบว่าเป็นการอั้งยี่จริง และมีการดำเนินการต่อ ก็จะทำให้สังคมเกิดความชัดเจน จะเป็นการพิสูจน์การทำงานว่า DSI ทำงานภายใต้แรงกดดันทางการเมืองหรือไม่ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละสมัยก็พบว่า DSI ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีอดีตอธิบดีเคยติดคุก และบทบาทที่สำคัญที่สุดของ สว.คือการเห็นชอบและพิจารณาคุณสมบัติขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะปีนี้ กกต.จะหมดวาระกันหลายคน ซึ่งหากเป็นความจริงว่า สว. 199 คน หรือจะเป็น 138+2 คน มาโดยไม่ชอบ ตรงนี้จะเป็นการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตย ทำลายความโปร่งใสและกลไกตรวจสอบทั้งหมด จึงขอให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา DSI ต้องพิสูจน์ตนเองว่าไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง
นางอังคณา ระบุว่าการแต่งตั้ง สว. กกต. ชุดใหม่ก็จะเป็นคนของตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปด้วย รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง สว.จะตกเป็นเป้าในการเลือกองค์กรอิสระต่าง ๆ โดยเฉพาะ กกต.ที่มีความสำคัญอย่างมากแล้วต่อไปสังคมจะไว้วางใจได้อย่างไรว่าเราจะมีองค์กรอิสระที่เป็นอิสระ ผู้แทนของประชาชนที่เป็นผู้แทนอย่างแท้จริง หวังว่าจะไม่เอาเรื่องนี้เป็นเครื่องมือการต่อรองทางการเมือง
แต่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงและ พ.ต.อ.ทวี ก็เหมือนเดิมพันด้วยตำแหน่ง หากสุดท้ายทำอะไรไม่ได้ก็น่าเสียใจ ที่พูดอะไรไปตั้งเยอะแต่สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ส่วนองค์กรอิสระที่ สว.ชุดนี้มีการเลือกไปแล้วนั้น ตนเองกังวลว่าหากสุดท้ายผลออกมาว่ามี สว.ที่อาจจะได้มาโดยไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ แล้วผลจากการที่ สว.ได้ไปเลือกองค์กรอิสระแล้ว จะมีผลกระทบหรือไม่ หรือไม่เป็นอะไร แต่ก็ขอให้ กกต.รับดำเนินการไปก่อน