8 ธ.ค.2567 – นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสส.พรรคเพื่อไทยเข้าชื่อกันเสนอร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.ฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยกล่าวว่า แนวคิดการเสนอร่างกฎหมายเพื่อป้องกันการทำรัฐประหาร เป็นแนวคิดที่พรรคเพื่อไทยคิดไว้นานแล้วตั้งแต่สภาฯสมัยที่ผ่านมายุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนมาตอนนี้จึงมีการเข้าชื่อกันเสนอร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมฯเข้าสภาฯ บนหลักการคือต้องการให้กองทัพ-ทหาร ยอมรับเข้าใจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพราะทหารก็คือข้าราชการเหมือนกับข้าราชการอื่นๆ ที่จะต้องเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลนำไปใช้ในการบริหารราชการ
“ทหารก็ต้องอยู่ใต้รัฐบาล การให้ครม.มีอำนาจพิจารณาโผนายพลที่ผ่านการพิจารณามาจากบอร์ดแต่งตั้งนายทหารระดับนายพลตามร่างที่เสนอฯ ก็เป็นการทำให้ทหารเหมือนกับข้าราชการพลเรือนส่วนอื่นๆ อย่างปลัดกระทรวงกลาโหม ก็เหมือนกับปลัดกระทรวงอื่นๆ แต่นี้ใหญ่เหลือเกิน เพราะบังเอิญมีปืน”นพ.เชิดชัย ระบุ
นพ.เชิดชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้น จึงควรทำให้ถูกต้องตามครรลอง หลักการประชาธิปไตย ที่การเมืองต้องนำทุกอย่าง ข้าราชการต้องเชื่อฟังรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รายละเอียดในส่วนการให้อำนาจครม.ร่วมทำโผนายพล ก็ต้องถนอมน้ำใจของทหารไว้ด้วย คือให้ครม.พิจารณารายชื่อบนหลักการที่เป็นธรรม
นพ.เชิดชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่ในร่างพรบ.ระเบียบราชการกลาโหมฯดังกล่าว ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีและครม.มีอำนาจสั่งให้ทหารที่พบหรือมีข้อมูลว่า กำลังเคลื่อนไหวจะทำการยึดอำนาจรัฐบาลหรือคิดทำรัฐประหาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ ว่า ประเด็นนี้ ต้องเขียนในกฎหมายให้ชัดเจน ต้องระวังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ไม่เช่นนั้นจะไปซ้ำรอย กรณีครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสมช. จนโดนร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลสั่งให้นายกฯยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่ง เพราะหากมีการไปสั่งย้ายทหารโดยไม่มีข้อมูลชัดเจน ก็อาจโดนร้องกลับว่าย้ายโดยไม่เป็นธรรม ก็ต้องเขียนในกฎหมายให้ชัดเจนว่าต้องมีพฤติกรรมอย่างไร
“ดูแล้วหากสภาฯพิจารณาร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหมของเพื่อไทย ก็น่าจะผ่านสภาฯได้ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เกิดไปคิดมากอีก จนไม่ยอมผ่านให้ เหมือนตอนกฎหมายประชามติ ก็มีบางพรรคการเมือง อยู่ๆ ก็เบี้ยวขึ้นมา พรรคไหนก็ไม่รู้ แต่พบว่าพรรคประชาชนก็เสนอร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหมเข้าสภาฯ เหมือนกัน ซึ่งหากสองพรรคเห็นตรงกัน ก็อาจผ่านสภาฯได้ แต่จะไปติดตรงที่สมาชิกวุฒิสภา เพราะถ้าเป็นสว.มาจากเลือกตั้งหมด ก็น่าจะผ่านได้ ไม่ใช่เป็นสว.สีน้ำเงินหมด”นพ.เชิดชัย กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีการประกาศใช้พรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหมฯ ที่เสนอเข้าสภาฯ จะทำให้การเกิดรัฐประหารในประเทศไทยคงจบไปแล้วใช่หรือไม่ นพ.เชิดชัยกล่าวว่า ก็น่าจะดีขึ้น ไม่มีใครกล้าทำรัฐประหาร หากทำประชาชนก็จะออกมาต่อต้าน จะเป็นการยืนยันว่าประเทศไทยเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ปกครองด้วยตัวหนังสือที่เขียนไว้ ก็จะเป็นหลักประกันอีกอย่างหนึ่งได้ หลักการในการเสนอร่างกฎหมายลักษณะดังกล่าว เป็นแนวคิดที่จะปฏิรูปส่วนราชการ และปฏิรูปกฎหมายให้เป็นประชาธิปไตย ผู้นำเหล่าทัพ ก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น ก็ต้องมีวุฒิภาวะ เข้าใจว่าที่เขาเสนอร่างแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชังอาชีพทหาร แต่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปอย่างสงบ พวกที่ชอบยุให้ทหารออกมาปฏิวัติจะได้น้อยลงไปบ้าง เพราะหากรัฐบาลทำอะไรไม่ถูก ก็เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือตอนเลือกตั้งก็ไม่ต้องไปเลือก ผู้นำเหล่าทัพเขาเห็นการรัฐประหารสองครั้งล่าสุด โดยเฉพาะยุคคสช.ปี 2557 ลุงตู่อยู่นานแล้วผลเป็นยังไง ประชาชนหนี้ท่วม
นพ.เชิดชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จริงๆ แล้ว พรรคเพื่อไทย มีแนวคิดอยากจะทำ-เสนอร่างกฎหมายแก้ไข พรบ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 นานแล้ว หลังจากนี้ก็จะถือโอกาสเสนอต่อจากนี้ไปเลย(ร่างพรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหม) เพราะพรบ.กฎอัยการศึก ที่ใช้อยู่ เป็นกฎหมายโบราณ ไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน การจะให้อำนาจใครไปสั่ง ไปออกกฎอัยการศึก ต่อไปมันต้องชัด และการยกเลิกกฎอัยการศึก ก็ต้องทำให้ชัด ก็อาจทำแบบเกาหลีใต้ก็ได้ เช่น หากมีการประกาศกฎอัยการศึก ก็ต้องให้รายงานสถานการณ์ต่อสภาฯ ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหากสภาฯเห็นว่ามีปัญหา หรือไม่เห็นด้วยกับการประกาศ ก็สามารถลงมติไม่เอาด้วยกับการประกาศดังกล่าวได้ เพื่อทำให้กฎอัยการศึกที่ประกาศออกมาตกไป ถ้าทำออกมาแบบนี้ได้ก็ยอดเลย หลังจากนี้ จะหาโอกาสคุยกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เพื่อจะได้รื้อเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเคยคุยกันมาแล้วในพรรคในการจะแก้ไขกฎหมายกฎอัยการศึก ที่ประกาศใช้มานานมาก มันโบราณมาก ในพรรคเราก็คุยเรื่องนี้กันอยู่
อนึ่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มีสาระสำคัญเช่น ผู้มีอำนาจในการประกาศใช้กฎอัยการศึก 1) พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยการประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยทรงประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกในส่วนหนึ่งส่วนใดของพระราชอาณาจักร หรือ ตลอดทั่วทั้งพระราชอาณาจักร ภายใต้เงื่อนไข คือ เมื่อมีเหตุอันจำเป็นเพื่อที่จะได้รักษาความเรียบร้อยปราศจากภัยซึ่งจะมีมาจากภายนอก หรือภายในพระราชอาณาจักร (มาตรา 2)
รวมถึงให้อำนาจ ผู้บังคับบัญชาทหาร มีอำนาจในการประกาศกฎอัยการศึกเฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของทหารได้ภายใต้เงื่อนไข คือ 1) เมื่อมีสงคราม หรือ จลาจลเกิดขึ้น ณ แห่งใด 2) มีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใด ๆ3) จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด เป็นต้น.