7 ธ.ค.60 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวในเวทีเสวนา “ตามหาคน (โกง) หาย” ซึ่งจัดโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน โดยในตอนหนึ่ง นายจรัญตั้งข้อสังเกตว่า แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนามาตรการทางกฎหมายขึ้นมาจัดการกับคดีทุจริตเป็นพิเศษ เช่น มีการตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กำหนดให้คดีทุจริตหากหลบหนีจะไม่มีอายุความ สามารถฟ้องคดีลับหลังจำเลยได้ และนำระบบไต่สวนมาใช้แทนระบบกล่าวหา เป็นต้น
แนวหน้า – แต่ก็ยังมีปัญหาบางประการ คือ มาตรการดังกล่าวใช้กับการดำเนินคดีกับนักการเมือง ข้าราชการประจำหรือเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ที่เข้าข่ายถูกตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น แต่สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐระดับรองลงมา ที่เมื่อมีข้อร้องเรียนกรณีทุจริตจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) จุดนี้จะมีปัญหาตรงที่ยังไม่มีในส่วนการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
นอกจากนี้ นายจรัญ ยังเสนอแนะว่า มาตรการที่ใช้กับความผิดฐานทุจริตน่าจะนำมาใช้กับคดีอาญาด้วย อาทิ ระบบไต่สวนซึ่งศาลสามารถใช้ดุลยพินิจให้ค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาใช้ในการพิจารณาคดีอาญาด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย เพราะคู่กรณีที่มีสถานะทางสังคมไม่เท่ากัน การใช้ระบบกล่าวหาที่ให้แต่ละฝ่ายหาพยานหลักฐานกันเองจะเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการต่อสู้คดี รวมถึงเรื่องคดีต้องไม่มีอายุความ โดยอาจเริ่มต้นจากคดีที่มีอัตราโทษรุนแรง คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงแก่สังคมโดยรวม
“คนที่ฆ่าข่มขืน คนที่ปล้นธนาคาร คนที่วางระเบิด คนที่ฉ้อโกงประชาชนได้เงินเป็นพันล้านหมื่นล้าน แล้วหนีไปเสพสุขอยู่ในต่างประเทศ พอครบกำหนดหมดอายุความก็กลับมา ก็เอากลไกเหล่านี้มาใช้ ไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล เอากลไกที่พัฒนาไปแล้วในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ขยายผลไปใช้กับอาชญากรรมพื้นฐานที่ร้ายแรง จะเลือกก็ได้ เหมือนกฎหมายฟอกเงินเขาก็เลือกจากความผิดมูลฐานใหญ่ๆ เข้ามา ผมคิดว่าทำได้ หรือจะขีดเส้นแบ่งเลย ถ้าโทษจำคุกเกินกว่า 10 ปีขึ้นไปให้เอาระบบตาข่ายเหล็กนี้มาใช้” นายจรัญ กล่าว
สำนักข่าววิหคนิวส์