เมื่อเวลา 17.45 น.วันที่ 9 ม.ค.6 พ.ต.ต.พิษณุ เตรียมดี สว.ตร.ท่องเที่ยวเชียงใหม่พร้อมกับพวกได้รับแจ้งว่ามีชายคนหนึ่งใช้ผ้าแมสผิดปากจมูกพาผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อหนึ่งมาถ่ายทำที่หน้าสำนักงานธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่
ในหมู่บ้านเชียงใหม่แลนด์ ต.ช้างคลาน อ.เมือ จ.เชียงใหม่เรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการทัวร์ในจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจไปตรวจสอบ พบนายเฉินหลง อายุ 51 ปี ซึ่งเคยเป็นแกนเคยพากลุ่มไกด์และผู้ประกอบการไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆนั่นเอง ทางตำรวจได้ขอดูบัตรประชาชนปรากฎว่านายเฉินหลงไม่มีมาแสดง เมื่อตรวจสอบข้อมูลเลข 13 หลักจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์กรมการปกครอง ปรากฎว่าไม่มี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าวว่า ว่าในจังหวัดเชียงใหม่ไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญตามที่ นายเฉินหลงร้องเรียนเข้าไป เมื่อทางผู้สื่อข่าวเข้าใจก็พากันเดินทางกลับ ตำรวจจึงนำตัวนายเฉินหลงมา สอบสวนที่ สภ.เมืองเชียงใหม่
จากการสอบสวน นายเฉินหลง พร้อมกับเตรียมดำเนินคดีในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบนีเข้าเมืองและพำหนักอยู่ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ทางนายเฉินหลงให้การว่าตนเป็นคนไทยตกสำรวจได้ขอโทรไปให้ญาติให้นำหลักฐานการเป็นคนไทยมาแสดง ต่อมาตำรวจ ต่อมาทางน.ส.จิราพร โพธิ์สุวรรณ บุตรสาวได้นำหลักฐานสูจบัตรและหลังฐานใบสุทธิการเรียนหนังสือและหลักฐานว่า นายเฉินหลง มีชื่อจริงว่า นายจางเป่า แซ่ฉี่ อายุ 51 ปีพักอยู่บ้านตามทะเบียนบ้านเลขที่ 84/3ถนนสุริยวงค์ ซอย 5 ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มาแสดงให้เจ้าหน้าที่และนายเฉินหลงยอมรับว่าตนเกิดในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
ได้แจ้งย้ายมาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่เด็กและลืมไปถ่ายบัตรประชาชน เนื่องจากตะลอนไปอยู่หลายที่ ส่วนพี่น้องตนก็มีบัตรประชาชนคนไทยหมดแล้ว ส่วนเรื่องที่ตนออกมาเป็นแกนน้ำต่อต้านทัวร์ศูนย์เหรียญนั้น ขอปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นแกนนำแต่อย่างใดแต่เนื่องจากลูกสาวมีอาชีพเป็นผู้ประกอบการทัวร์อยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่กำลังได้รับความเดืดร้อนจากทัวร์จีนที่เข้ามาแย่งงาน จึงมาปรึกษาผมว่า ในฐานะที่พ่อเคยเป็นนักข่าวมาก่อนขอช่วยเหลือหนูและเพื่อนๆผู้ประกอบการด้วยกันได้ไหมว่าจะมาช่วยเหลือพวกหนูได้อย่างไร
ตนจึงพากลุ่มผู้ประกอบการไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆให้ช่วยเหลือ ตามที่ปรากฎเป็นข่าวทางสื่อมวลชนมาตลอด ต่อคำถามที่ว่า แล้วสถานีโทรทัศน์ที่พามาทำสกุ๊ปในวันนี้ นายเฉินหลงไปร้องเรียนใช่หรือไม่นายเฉินหลงตอบว่า สื่อเขาติดต่อมาหาผมเองหลังจากที่ผมเคยติดต่อไปหลายเดือนแล้ว เมื่อเขามาผมก็ไปส่งเขาและขณะที่กำลังจะพาไปถ่ายก็มาถูกตำรวจท่องเที่ยวมาจับกุมตนที่ไม่มีบัตรประชาชน
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการจับกุม นายเฉินหลงได้ยอมรับสารภาพต่อหน้า สว.ตร.ท่องเที่ยวเชียงใหม่ ว่าตนเคยเป็นคนแนะนำให้ผู้ประกอบการทัวร์ในเชียงใหม่ไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างให้ช่วยเหลือที่ได้รับความเดือดร้อนจากทัวร์จีนจริง แต่ไม่ได้เป็นแกนนำ ในเชียงใหม่ไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญของชาวจีนแต่อย่างใด ตามข้อเท็จจริงแล้ว ลูกสาวซึ่งประกอบกิจการขายทัวร์อยู่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ มาปรึกษาตนในฐานะที่เคยทำงานเป็นนักข่าวมาก่อนเพื่อขอให้ช่วยแนะนำให้ช่วยเหลือที่ ตลาดทัวร์จีนในเชียงใหม่มีการขายราคาตัดหน้ากัน
ตนจึงแนะนำให้ลูกสาวและผู้ประกอบการไปเรียนเรียนตามหน่วยงานต่างๆตามที่ปรากฎเป็นข่าวทางสื่อมวลชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาช่วยเหลือ ส่วนเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญในเชียงใหม่ตนตรวจสอบแล้วว่าไม่มี และข่าวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมานั้นเป็นการขัดแย้งกันในบริษัททัวร์แห่งหนึ่งในการขายราคาทัวร์เท่านั้น จากนั้นนายเฉินหลง ได้ยกมือไหว้ขอโทษ พ.ต.ต.พิษณุ พร้อมกับนั่งจะกราบเท้า ขอโทษ จนตำรวจต้องประคองขึ้น และนายเฉินหลงได้ยกมือไหว้ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจนทำให้เชียงใหม่อาจจะทำให้หลายฝ่ายมองไปในทางที่ไม่ดี
ด้าน พ.ต.ต.พิษณุ เตรียมดี สว.ตร.ท่องเที่ยวเชียงใหม่ กล่าวว่า นายเฉินหลง ที่ถูกจับในวันนี้ เขาเป็นเคยแกนนำกลุ่มไกด์และผู้ประกอบการทัวร์ที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากการขายทัวร์ตัดหน้ากันทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่เขาสร้างกระแสขึ้นเพื่อต้องการจุประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา
ซึ่งเรื่องนี้ทาง ผอ.ททท.เชียงใหม่ พร้อมด้วยตำรวจท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เชิญทุกๆฝ่ายที่ได้รับผลประทบจากการขายทัวร์ตัดหน้ากันมาหารือและทางออกร่วมกัน เนื่องจากการขายทัวร์เดี่ยวนี้ไม่ได้ขายแบบหน้าเค้าเตอร์แบบเดิมๆอีกต่อไปแล้ว แต่ทางนายเฉินหลงไม่ยอมมาเจรจาด้วยยังเดินหน้าจะร้องเรียนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญโดยไปร้องนักข่าวกรุงเทพมาทำแทน นักข่าวในพื้นที่ ที่เขาไม่ทำข่าวให้แล้ว
จนวันนี้ตำรวจได้ไปเชิญตัวมาสอบสวน ในเบื้องต้นทางนายเฉินหลงมีหลักฐานการเกิดในประเทศไทย ตำรวจจึงแจ้งข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะและไม่พกบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งเป็นความผิดลหุโทษที่จะสามารถปรับในชั้นสอบสวนได้พร้อมกับว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป
สำนักข่าววิหคนิวส์