“แม่สายจากเมืองเจียงฮายต้องไปสู่สังคมทราม” ถ้อยบทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตสาวบ้านนาที่ถูกหลอกไปค้าประเวณียังเมืองกรุง เพียงเพื่อตอบแทนความกตัญญูและความต้องการหลีกหนีความจน แต่สุดท้ายแล้ววิมานที่วาดฝันกลับกลายเป็นนรกบนดิน
Sanook-นั่นคือบทละครสะท้อนชีวิตจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยกว่า 30 ปีที่แล้ว ที่ขบวนการค้ามนุษย์ยังเฟื่องฟูหลอกหาเด็กสาวจากบ้านนาเพื่อป้อนเข้าสู่วงการค้าประเวณี ซึ่งบ้านเรายังถือว่าการค้าประเวณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แม้จะมีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนาน
เพื่อขจัดปัญหาทั้งหมดทั้งปวงก็จับลงอ่างซะเลย! กลายเป็นจุดกำเนิดของสถานบริการอาบอบนวดที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจกามารมณ์อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งมีการจัดระเบียบอย่างดี เช่น หมอนวดต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป, มีการตรวจเลือดทุก 3 เดือน,ไม่มีการบังคับค้าประเวณี
นั่นแสดงให้เห็นว่าสาวอาบอบนวดทุกคนล้วนมีความสมัครใจที่จะเข้ามาประกอบอาชีพตรงนี้ ทำให้ขบวนการค้ามนุษย์ล่อลวงเด็กมาค้าประเวณีเริ่มจางหายไปจากความทรงจำ
แต่แล้วการบุกเข้าจับกุมสถานบริการอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” ในข้อหาค้ามนุษย์นั้นแสดงให้เห็นว่าขบวนการล่อลวงหญิงสาวเพื่อเข้ามาทำงานในเส้นทางสายโลกีย์นั้นยังแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ภายในสังคมไทยไม่เคยจางหายไปไหน
เพียงแต่เปลี่ยนแปลงวิธีการจากการล่อลวงเด็กสาวจากบ้านนาชาวไทย กลายเป็นการล่อลวงหญิงสาวชาวต่างชาติแทน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่อายุไม่ถึง 18 ปี
โดยเอเย่นต์ที่จัดหาจะล่อลวงหญิงสาวด้วยการเสนอเงินค่าตอบแทนที่สูง คล้ายกับกรณีหญิงไทยที่ถูกล่อลวงไปค้าประเวณีที่เมืองนอกนั่นเองและจุดจบก็ไม่ต่างกันคือ จะต้องทำงานชดใช้หนี้จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้านเกิดเพื่อหนีจากนรกขุมนี้เสียที
สาเหตุที่เด็กเอเย่นต์ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ เนื่องจากว่าเด็กอ่างต่างด้าวเหล่านี้จะไม่ได้รับค่าแรงเป็นเงินสดในการขึ้นรอบ เพราะรายได้ส่วนนี้เอเย่นต์จะเป็นผู้มารับเองทุกๆ 7 วัน แล้วจะนำไปจัดการให้เด็กเองตามที่ตกลง
โดยเหยื่อสาวที่โดนบังคับค้ามนุษย์ต้องรับแขกให้ได้มากกว่า 3 คน ใน 1 วัน ถึงจะกลับบ้านได้ และใน 1 เดือน ต้องทำงานต่อเนื่อง 12 วัน ไม่งั้นจะถูกตัดเงินทั้งที่ไม่ค่อยจะได้รับอยู่แล้ว
นอกจากนี้เวลาทำงานก็จะมีรถตู้ไปรับจากที่บ้านพักไปส่งที่ทำงานทุกวัน ส่วนพาสปอร์ตก็จะโดนยึดเก็บไว้เป็นหลักประกันการหนี ที่สำคัญเด็กเอเย่นต์เหล่านี้จะถูกเวียนไปยังสถานบริการต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อหลีกหนีการจับกุมและตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐอีกด้วย
ทีนี้ลองมาดูเลขคร่าวๆ ของธุรกิจอาบอบนวดกันบ้างว่ามีค่าตอบแทนเท่าไหร่
โดยข้อมูลของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เมื่อปี 2551 ประเมินว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนของหญิงให้บริการทางเพศ 1 คน จะได้ผลตอบแทนต่ำสุด 31,250 บาท (ในกรณีสำหรับบังกะโล เกสท์เฮาส์ ดิสโกเทค ค็อกเทลเลาจน์ และร้านตัดผมชาย) จนถึงผลตอบแทนสูงสุด 125,000 บาท (ในกรณีสำหรับสำนักหรือซ่อง)
และรายได้รวมของธุรกิจให้บริการ อาบอบนวดในปี พ.ศ. 2550 มีมูลค่าอยู่ที่ 23,803 ล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบันรายได้น่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวคือ 50% คาดว่าน่าจะมีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
จากตัวเลขที่สูงเช่นนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะมีเหล่าเหลือบไรเข้ามาตักตวงหาผลประโยชน์อันมหาศาล หากไม่มีอุปสงค์ ก็คงไม่มีอุปทาน และที่สำคัญธุรกิจอาบอบนวด แท้จริงแล้วขายอะไรกันแน่
หากรัฐต้องการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง คงต้องตีความหมายกันใหม่ว่า สถานบริการเหล่านี้ควรจัดอยู่ในประเภทใด และควรเปิดได้อย่างเสรีจริงหรือ?
สำนักข่าววิหคนิวส์