“เรืองไกร” ถาม”ธีระเกียรติ”ถือครองหุ้นSCCกล้าลาออกหรือไม่ จ่อยื่นกกต.สอบ ขณะ เข้าให้ข้อมูลป.ป.ช.ปมนาฬิกาหรูประวิตร,พร้อมเตรียมขอสรรพากรสอบภาษีเงินกู้”สมยศ”
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ในต่างประเทศถึงเรื่องนาฬิกาโดยเปรียบเปรยว่ากรณีดังกล่าวถ้าเป็นตัวเองคงลาออกไปตั้งแต่เรือนแรกว่า ตนเองได้ส่งจดหมายถึง นพ.ธีระเกียรติ ให้พิจารณาในเรื่องการถือหุ้น scc ของบริบัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000 หุ้น ว่าเป็นหุ้นสัมปทานหรือไม่
มีการซื้อหุ้นเพิ่มเติมอีก 800 หุ้น
ก่อนดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการจริงหรือไม่ และหากเป็นหุ้นสัมปทาน นพ.ธีระเกียรติ จะดำเนินการเหมือนที่ได้ให้สัมภาษณ์กรณีนาฬิกาหรือไม่ ซึ่งในวันที่ 19 ก.พ. นี้ ไม่ว่า นพ.ธีระเกียรติ จะลาออกหรือไม่ และเตรียมยื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการกรณีนี้เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการขาดคุณสมบัติต่อไป
“เรืองไกร” เข้าให้ข้อมูลป.ป.ช.อายัดนาฬิกาหรู”ประวิตร”
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เดินทางมาให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กรณีเป็นผู้ร้องขอให้ยึด หรืออายัด นาฬิกาหรู 25 เรือน ที่ปรากฏภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เคยสวมใส่ มาตรวจสอบก่อน โดย นายเรืองไกร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ปากคำว่า ทาง ป.ป.ช.ได้ตั้งคำถาม 4 ประเด็น คือ ข้อมูลนาฬิกา ใครเป็นเจ้าของ เป็นการได้มาที่ไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือไม่ รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ เชื่อว่าทั้ง 4 ประเด็นที่ ป.ป.ช. ถามมา ตนเองสามารถชี้แจงได้ อย่างไรก็ตามในการให้ถ้อยคำดังกล่าวตนจะยืนยันเช่นเดิมว่าทาง ป.ป.ช.จะต้องทำการยึดอายัดนาฬิกาและทรัพย์สินที่ตกเป็นข่าวมาตรวจสอบ
“เรืองไกร”เอาด้วย ยื่น ปปช.สอบ “พล.ต.อ.สมยศ”
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่ามีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. จากเงินกู้ยืม 300 ล้านบาท ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ป.ป.ช.หรือไม่ และมีการรับประโยชน์อื่นใดอันฝ่าฝืนกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 103 หรือไม่ โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า ในเรื่องที่ไม่พบเงินที่กู้ยืม 300 ล้านบาทในบัญชีทรัพย์สินของ พล.ต.อ.สมยศ นั้น ส่วนตัวไม่ติดใจ เพราะจากการชี้แจงว่าเป็นการกู้ยืมในช่วงปี 2558 แต่ขอให้ตรวจสอบว่าหนี้เงินกู้ 300 ล้านบาท มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช. อย่างถูกต้องหรือไม่ รวมถึงรายละเอียดการกู้ยืมเพราะหากไม่มีการเสียดอกเบี้ยก็จะเข้าข่ายได้รับผลประโยชน์อื่นใด ตามมาตรา 103 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 นอกจากนั้น ขอให้ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบในประเด็นภาษีจากเงินกู้ยืมดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย
Cr.innnews
สำนักข่าววิหคนิวส์