กรมศุลกากรยอมรับประกาศฉบับที่ 60/2561 สร้างความสับสนให้ประชาชน พร้อมปรับปรุงประกาศใน 1-2 สัปดาห์นี้ แจงชัด! ผู้โดยสารทั่วไปไม่ต้องสำแดงของมีค่า ด้านนายด่านสุวรรณภูมิเผยปีที่แล้วมีนักธุรกิจสำแดงสิ่งของเพียง 80 คนเท่านั้น
นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยถึงกรณีประกาศที่ 60/2561 ลงวันที่ 26 ก.พ.2561 เรื่อง “การปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางอากาศยาน” ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล เพราะคนไทยเดินทางไปต่างประเทศ และนำของมีค่าติดตัวไปด้วย เช่น นาฬิกา กล้องถ่ายวีดิโอ กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา ต้องนำมาแจ้งหรือสำแดงต่อพนักงานศุลกากร (Declare) หรือดีแคลร์ นั้น ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะเจตนาของประกาศฉบับนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวไทย ไม่ใช่มาตรการรีดภาษีคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ
ทั้งนี้ เนื้อหาของประกาศไม่ได้กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนจะต้องนำสิ่งของไปสำแดงหรือดีแคลร์ต่อเจ้าหน้าที่ ตอนเดินทางออกนอกประเทศ แต่วัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่อาจมีสิ่งของที่ต้องนำไปต่างประเทศ เช่น มีการนำนาฬิกา 20-30 เรือน ทองคำและเครื่องประดับ 20 เส้น ไปจัดแสดงสินค้าแล้วเกรงว่า หากนำของดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศอาจถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจพบและถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นของที่เพิ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศและอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีอากร ทำให้ต้องเสียเวลาหรือมีความยุ่งยากในการหาหลักฐานชี้แจง จึงได้มีบริการให้ไปพบเจ้าหน้าที่ก่อนออกนอกประเทศ เพื่อบันทึกสิ่งของนั้นไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้บังคับและไม่มีบทลงโทษผู้โดยสาร
“ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรใช้ดุลพินิจในการพิจารณาอย่างรอบคอบอยู่แล้ว ว่า สินค้าหรือของมีค่าที่นำติดตัวออกนอกประเทศ และนำกลับเข้ามาในประเทศ เป็นการซื้อสินค้าใหม่หรือไม่ เพราะลักษณะของสินค้ามีความเก่า-ใหม่แตกต่างกัน หากเป็นนาฬิกายี่ห้อแพงซึ่งมีลักษณะเก่า เนื่องจากผ่านการใช้งานมาแล้ว ก็ถือเป็นของมีค่าที่นำติดตัวไปต่างประเทศ เช่นเดียวกับพระเครื่อง สร้อยคอทองคำ ที่นำติดตัวไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประกาศฉบับนี้ได้สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดี กรมศุลกากร จึงได้ตั้งคณะกรรมการทำงานเพื่อแก้ไขประกาศฉบับดังกล่าว ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในหลักการจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระสำคัญ แต่จะเน้นปรับปรุงการใช้ภาษาให้มีความเข้าใจมากขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
“ปัจจุบันเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรประจำด่านสนามบินสุวรรณภูมิ เน้นเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เช่น กรณีการซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศ กฎหมายกำหนดว่า ต้องมีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 20,000 บาทต่อคน หากซื้อสินค้าหลายชิ้นมีมูลค่า 21,000 บาท ส่วนที่เกินคือ 1,000 บาทก็ไม่น่ามีภาระภาษี หรือยกเว้นให้ได้ แต่ในกรณีที่สินค้ามีมูลค่า 30,000-40,000 บาท ก็ต้องนำมาเสียภาษี”
ส่วนกรณีที่ประชาชนสงสัยว่า สินค้าที่ซื้อร้านค้าปลอดอากรภายในสนามบินแล้วยังสามารถฝากสินค้ากับร้านค้าปลอดอากรได้เหมือนเดิม แต่สินค้าต้องมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท ส่วนกรณีที่ซื้อสินค้าปลอดอากรภายนอกสนามบิน ต้องนำติดตัวออกไปนอกประเทศด้วย นอกจากนี้ สินค้าที่ซื้อกลับมาในประเทศต้องมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท และมีสินค้าที่ต้องควบคุมปริมาณคือ เหล้าไม่เกิน 1 ลิตร บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน หรือ 1 ห่อ
ด้านนายบุญเทียม โชควิวัฒน ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจผู้โดยสารสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน มีผู้โดยสารดีแคลร์สินค้ามีค่าติดตัวเพียง 80 คน ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องประดับและอัญมณี ที่นำไปขายหรือแสดงสินค้าในต่างประเทศ ขณะที่ประชาชนทั่วไปแทบจะไม่มีการดีแคลร์สินค้าติดตัวเลย โดยในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีเพียง 10 รายเท่านั้น และคนที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ไม่ค่อยตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่บังคับใช้มานานแล้ว
ส่วนผลการดำเนินงานด้านจับกุมผู้กระทำความผิด นำสินค้าเข้ามาในประเทศมูลค่ามากกว่า 20,000 บาท มียอดการจับกุมทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 คน ส่วนใหญ่เป็นนาฬิกาและกระเป๋าหรูราคาแพง ล่าสุดสัปดาห์นี้จับกระเป๋าหรูและสินค้าอื่นๆ ไม่เสียภาษีรวมเป็นเงิน 16 ล้านบาท โดย 4 เดือนที่ผ่านมาได้นำสินค้าที่ยึดออกประมูล 2 ครั้ง ได้เงิน 40 ล้านบาท ดังนั้น ประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวไม่ต้องกังวล ยกเว้นพวกนักขนสินค้ามาขายแบบพรีออเดอร์ และพนักงานสายการบิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่กรมศุลกากรตรวจสอบเข้มข้นอยู่แล้ว.
Cr.thairath
สำนักข่าววิหคนิวส์