นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพฯ โพสต์ข้อความ เมื่อไหร่พี่น้องเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะจับมือก้าวข้ามคสช.+ทักษิณ+คอร์รัปชัน !?!
ข่าวใหญ่ของวันนี้คือการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้เริ่มขึ้นเมื่อสองผู้นำมาพบกัน ทั้งคู่ทักทายด้วยการจับมือกันโดยที่ผู้นำเกาหลีเหนือยืนอยู่ทางฝั่งเหนือของเส้นแบ่งเขตแดน ในขณะที่ผู้นำเกาหลีใต้ยืนอยู่ในดินแดนฝั่งใต้
คิม จองอึนได้เชื้อเชิญและจูงมือพาประธานาธิบดีมุน แจอินข้ามเส้นเขตแดนเข้ามาในดินแดนฝั่งเหนือ ซึ่งเป็นการกระทำที่เหนือความคาดหมาย ก่อนที่จะเดินข้ามเส้นเขตแดนกลับมาที่ฝั่งใต้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้ามาในเขตปลอดทหารเพื่อเปิดงานประชุมในฝั่งใต้ ซึ่งคิม จองอึนเป็นผู้นำเกาหลีเหนือคนแรกที่ได้ข้ามเส้นเข้ามาในฝั่งเกาหลีใต้ตั้งแต่ทั้งสองเกาหลีลงนามสงบศึกในสงครามเกาหลีเมื่อ 65 ปีก่อน
เรื่องนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงการสนทนากับคู่สามีภรรยา ที่ได้พบกันโดยบังเอิญที่ตลาดเมื่อวานนี้ ฝ่ายภรรยาเข้ามาถามว่าใช่คุณรสนาไหม พอทราบว่าใช่ เธอก็ขอคุยเรื่องการเมือง
สิ่งที่เธออยากรู้คือเลือกตั้งครั้งหน้า ใครจะชนะ พอบอกนักการเมืองเก่าๆคงจะกลับมาอีก เธอส่งเสียงขึ้นมาว่า ได้ยังไง แล้วที่ไปเดินขบวนขับไล่ตระกูลทักษิณไม่ได้ผลหรือ?
ดิฉันแสดงความเห็นว่า 4ปีของคสช.ไม่ได้ปฏิรูปเรื่องสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่มีอำนาจมากขนาดนั้น แต่ไม่ทำให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างที่ประชาชนที่ออกมาเดินขบวนต้องการ ที่เห็นชัดเจนคืออุ้มกลุ่มทุนเป็นหลัก แบบที่สื่อเคยนิยามพฤติกรรมรัฐบาลคสช.ว่า “ยื่นปลาซิวให้คนจน มอบเรือประมงแก่นายทุน”
นโยบายสาธารณะอย่างเงินสวัสดิการแห่งรัฐให้คนจนเดือนละ300บาท แต่เงินนั้นไม่เกิดการหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า แต่เป็นการเอางบประมาณแผ่นดินผ่านมือคนจนเข้าสู่กระเป๋าเจ้าสัว
ยิ่งกว่านั้นในรัฐบาลคสช.กิจการดีๆของรัฐวิสาหกิจที่เป็นกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อดูแลประชาชนกำลังถูกบริหารให้เจ๊ง เพื่อผ่องถ่ายกิจการและทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจไปให้เอกชนทำกำไรแทน
ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมก็บิดกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนอย่างชัดเจนโดยรัฐบาลไม่รับฟังเหตุผลเพราะคิดว่าตนคือรัฐาธิปัตย์ที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง
แม้แต่นักวิชาการก็ยังระบุว่ามีงานวิจัยที่สำรวจพบว่ามีการคอร์รัปชันสูงมากในรัฐบาลนี้ และไม่มีกลไกการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจจากสภานิติบัญญัติและจากบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลาย
เธอท้วงว่าก็เห็นข่าวบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นไม่ใช่หรือ ดิฉันบอกเธอลองเดินไปถามพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดดูสิ เท่าที่ดิฉันฟังเสียงบ่นคือการค้าขายเงียบเหงา ขายได้น้อยลง
เธอยังยืนยันว่าไม่ต้องการให้ทักษิณกลับมา เลยยังต้องสนับสนุนคสช.ต่อไป ดิฉันถามว่าแม้ในสมัยนี้ที่มีการคอร์รัปชันไม่ต่างจากรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณที่เธอออกมาเดินขบวนขับไล่กันหรือ เธอได้แต่นิ่งอึ้ง
เธอเป็นเสื้อเหลืองที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่น เธอเล่าว่ากระเตงน้องไปฟังการหาเสียงของนักการเมืองทุกครั้ง สมัย14ตุลาก็ไปร่วมเดินขบวนกับเขาด้วย
ทั้ง2เหตุการณ์ทำให้ดิฉันคิดถึงเส้นแบ่งระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่ต่างไม่ยอมก้าวข้ามเส้นแบ่งสมมติเหมือนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้
พี่น้องเสื้อแดงที่เชียร์ทักษิณก็จะไม่แตะประเด็นคอร์รัปชันเชิงนโยบายหลายเรื่องรวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเครือข่ายทักษิณ และที่ต้องเชียร์ทักษิณเพื่อต่อต้านคสช.
เช่นเดียวกับพี่น้องเสื้อเหลืองที่จะไม่แตะเรื่องการคอร์รัปชันและการกินรวบรัฐวิสาหกิจของเครือข่ายคสช.ที่ไม่ต่างจากเครือข่ายทักษิณ และยังต่อยอดสิ่งที่เครือข่ายทักษิณทำมาก่อนให้ขยายขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น พี่น้องเสื้อเหลืองก็ไม่ต่อต้าน ที่ต้องยึดคสช.ไว้เพราะไม่เอาทักษิณ
ต่างฝ่ายต่างด่าว่าอีกฝ่าย โดยไม่เคยตรวจสอบฝ่ายของตนเองในประเด็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เช่นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ถ่ายโอนสาธารณสมบัติและสิทธิผูกขาดของรัฐไปให้เอกชนทำกำไรจากประชาชน ซึ่งเป็นกระบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่
ฝ่ายเสื้อแดงก็ด่าว่าฝ่ายเสื้อเหลืองที่สนับนุน ทหารมายึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งและสมน้ำหน้าที่ยุคคสช.ก็มีคอร์รัปชันไม่ต่างกัน และยังถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพอีกด้วย แต่ฝ่ายเสื้อแดงไม่เคยทบทวนดูว่าการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างให้ทหารมายึดอำนาจ ใช่หรือไม่ ถ้าประชาชนทุกฝ่ายไม่ปล่อยให้รัฐบาลฝ่ายไหนคอร์รัปชัน จุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้น
ถ้าทุกฝ่ายลองทบทวนดูประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา เราสูญเสียคนหนุ่มคนสาวที่ต่อสู้ขับไล่เผด็จการ บางคนเสียชีวิต บางคนพิการ บางคนถูกฟ้องล้มละลาย
เรายอมให้การเสียสละเหล่านี้เพียงเพื่อเป็นนั่งร้านให้ทั้งนักเลือกตั้งและนักรัฐประหารขึ้นมาเสพเสวยอำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชนเท่านั้นหรือ
ตัวแทนเหล่านี้ไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน แต่เข้ามาเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจของพรรคพวกตนเอง
หากเสื้อเหลืองเสื้อแดงยังแตกคอกัน ปกป้องแต่ผู้นำที่ตนเชียร์ แม้ผู้นำของตนจะคอร์รัปชัน เราก็คงเป็นเหมือนเกาหลีเหนือเกาหลีใต้ที่ไม่ยอมก้าวข้ามเส้นแบ่งสมมติที่ขีดกันขึ้นมา
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนไม่หลงกลการถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายโดยผู้นำพวกนั้น และกลับมาตระหนักในอำนาจของตนเองว่าในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการทั้งเผด็จการทหารและเผด็จการรัฐสภา เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้น ประชาชนได้อยู่ในสมการของดุลแห่งอำนาจทางการเมืองหรือไม่ หรือประชาชนเป็นเพียงนั่งร้านที่จะถูกถีบทิ้งทุกครั้งเมื่อขับไล่เผด็จการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำเร็จแล้ว และปล่อยให้ตัวแทนผลประโยชน์อีกฝ่ายเข้ามาใช้อำนาจกอบโกยราวกับอำนาจเป็นของเขา และประชาชนเป็นเพียงขอทานรอคอยความเมตตาที่เขาจะหยิบยื่นให้
เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนมีสำนึกในอำนาจที่แท้จริงของตนมิใช่แค่ตัวอักษรที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นพี่น้องประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต้องจับมือกันก้าวข้ามคสช.+ ทักษิณ เพื่อร่วมกันกำหนดดุลแห่งอำนาจของประชาชนใหม่ในสมการทางการเมืองเพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชันที่ตัวแทนทางการเมืองทั้ง2ประเภทใช้อำนาจของประชาชนเป็นช่องทางแสวงหาเงิน เพื่อเป็นฐานเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และใช้อำนาจทางการเมืองเป็นช่องทางหาเงิน วนเวียนกันเป็นวัฏจักรของการทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่สิ้นสุด
ประชาชนฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงควรยึดอุดมการณ์ร่วมที่จะไม่ยอมรับการทุจริต คอร์รัปชันของฝ่ายใด เมื่อนั้นเราจะสามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งมาหากันได้ อย่างที่คิมจองอึนกล่าวว่า “ตลอด 11 ปี ก็คิดอยู่นะว่า แค่ก้าวข้ามมาอีกฝั่งทำไมมันยากเย็น วันนี้ก็พบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด”
สำนักข่าววิหคนิวส์