จากกรณี นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความชื่อดัง นำ น.ส.แสง สุริยะเทพ พระมหาสุริยะ หรือ ร่างทรง4G ออกมาเผยต่อสื่อทำนองว่า จะเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.พหลโยธิน เพื่อจะเอาผิดกับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กับพวกรวม 3 คน หลังทางกลุ่มนายอัจฉริยะ แจ้งความกับทางตำรวจกองปราบให้จับกุม น.ส.แสงสุริยะเทพ ในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง และล่อลวงประชาชน ให้ผู้คนงมงามในเรื่ององค์จตุคามรามเทพ และเทพองค์อื่น ๆ แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน แทนที่จะแจ้งนายอัจฉริยะ ตัวนายสุกิจ กลับถูกจับเสียเอง หลังตำรวจกองปราบบุกไปคุมตัวในฐานะผู้ต้องหาตามหมายจับคดีรุกป่าสงวน ที่ จ.ตาก
ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ได้ในรายการโหนกระแส ช่อง 3 ว่า “ดูแล้วก็รุนแรง แต่จะเกินกว่าเหตุหรือไม่ก็ต้องเทียบกับคดีอื่นตอนนี้ตำรวจไทยจับคนร้ายรายสำคัญก็รุนแรง เช่นพุทธอิสระ ก็แบบนี้พังประตูเข้าไปจับนอนคว่ำเหยียบ ใส่กุญแจมือ นายกฯ ก็ออกมาขอโทษ กรณีนี้ถ้าถามผม ผมว่าผู้ต้องหาก็คนชรานะ 60 กว่า เรื่องท้าชกก็เก่งแต่ปาก ผมคิดว่าอย่างนั้น แกอายุมากแล้ว อ้วนด้วย มีโรคประจำตัว ในแง่กฎหมายอาจมองเหมือนลักษณะการขัดขืนการจับกุม ไม่ยอมให้จับ หรือไม่ให้โดนตัว
แต่ตรงนี้แกสะบัด ก็ต้องไปคิดเอาเองว่าลักษณะขัดขืนหรือเปล่า หรือสะบัดเพื่ออะไร ตำรวจมีหมายจับเขาก็จับอย่างเดียว จะทำอย่างอื่นไม่ได้ หนึ่งเขาเป็นทนาย อยู่ท่ามกลางผู้สื่อข่าว อายุมากแล้ว ดูแล้วไม่น่าจะหลบหนี หลักการจับ ทีนี้หลักในการจับของตำรวจ วิอาญาเขาเขียนไว้สั้นๆ กว้างๆ ว่าต้องทำเท่าที่จำเป็น มันจำเป็นต้องทำขนาดนี้หรือเปล่า ก็ต้องไปดูกันนะครับเพราะผู้ต้องหาเป็นทนายความ ผมว่าสภาทนายความน่าจะมีการแถลงข่าวบ้างนะ”
ทนายเดชา กล่าวอีกว่า “ผิดหรือไม่ผิดตอบยากต้องไปดูสำนวน ที่ตำรวจเขากล่าวหาว่ามีอะไรบ้าง บุกรุกเมื่อไหร่เข้ามายังไง เข้ามาเมื่อไหร่ เขาไปขอหมายศาล ศาลออกหมายจับ แสดงว่ามีหลักฐานพอสมควรแล้วว่าน่าจะกระทำความผิด ก็เป็นสิทธิ์อาจารย์สุกิจไปต่อสู้ในชั้นศาลกันต่อไป”
สำนักข่าววิหคนิวส์