ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #ดร.เทอดศักดิ์ ชี้หนีหายนะสู่สันติสุข

#ดร.เทอดศักดิ์ ชี้หนีหายนะสู่สันติสุข

31 March 2019
1936   0

ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองการปกครอง ได้โพสต์ข้อความส่วนตัวระบุว่า

สถานการณ์ปัจจุบัน มีการปลุกนิสิต นักศึกษา วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างลึกซึ้ง มองการเมืองแค่ตามองเห็น ตามหลักทฤษฎีเรดการ์ด ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขั้นมีการเปิดรับสมัครสมาชิกของพรรคผ่านเวบไซค์อย่างเปิดเผย

โดยมีวาทกรรมเดิมๆ ที่เคยใช้ปลุกนิสิต นักศึกษา ให้มารวมตัวในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ที่ตั้งขึ้นโดยปรีดี พนมยงค์ คณะราษฏรฝ่ายพลเรือน ในอดีตยังตั้งมาเพื่อใช้เปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนรุ่นใหม่ ที่จะมุ่งเน้นสอนเฉพาะการเมือง วิชาการเมือง ที่ไม่ยอมรับการปกครองไทย ยกย่องฝรั่ง

ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เชิงการต่อต้าน จนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนส่งผลทำให้มีการปะทะกันระหว่างจนท. และนักศึกษาจากการสลายการชุมนุม โดยจนท.ระบุว่า การชุมนุมของกลุ่มนักศึกษามีเป้าหมายเปลี่ยนการปกครองของไทย การปะทะครั้งนั้น มีนิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เหวง ธิดา จาตุรนต์ ภูมิธรรม ฯลฯ

ได้หลบหนีเข้าป่า ไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนสู้กับทางเจ้าหน้าที่ โดยมีวาทกรรมสำคัญในการต่อสู้คือ “ ประชาธิปไตย เสมอภาค ยุติธรรม “ ที่มีเป้าหมายสูงสุดคือล้มการปกครอง เพื่อให้กรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง แทนพระมหากษัตริย์

ในยุคสมัยนั้น นิสิต นักศึกษา วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ หารู้ไม่ว่าพวกเขาถูกหลอกต้ม เอามาใช้เป็นเครื่องมือ ความอ่อนเยาว์ทางการเมือง มารู้ตัวอีกที เพื่อนฝูง จำนวนมากต้องล้มตาย หนีเข้าป่า กลายเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

โดยหารู้ไม่ว่า ต้นเหตุมาจากไทยกับจีน ในยุคเหมา เจอตง ได้ประกาศจับมือกันยุติสงครามคอมมิวนิสต์ในไทย ยุติสถานีวิทยุปักกิ่ง ที่สั่งงานมาจากจีน โดยการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ของประเทศจีน ที่แรกเริ่มเอาหัวหน้าชาวเขาเผาม้งไปฝึกในปักกิ่ง ก็เพียงเพื่อบีบไทยให้หยุด ยุติการสนับสนุนสหรัฐในการจัดตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา เพื่อบุกเวียดนาม จนเกิดสงครามลามจะเข้ายึดประเทศจีน

เมื่อไทยยุติสงครามคอมมิวนิสต์ ก็มีกลุ่มประชาชนออกมาขับไล่ จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาศ จารุเสถียร ที่อนุญาตให้สหรัฐใช้ไทยเป็นฐานทัพสหรัฐ โดยอ้างสาเหตุการขับไล่ว่า จอมพลถนอม ร่วมกับจอมพลประภาศทุจริต จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก่อนหน้านั้นราว 3 ปี

แต่กลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่ยอมยุติ ยังปลุกนิสิตเข้าป่ามาเป็นกำลังเสริม เพื่อสู้รบกับทางการ จนพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้เปิดโอกาสใช้ มาตระการ 66/23 ให้ นิสิต นักศึกษา กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระเมตตา ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนามาใช้

แต่ยังคงมีกลุ่มนิสิต นักศึกษาส่วนหนึ่ง ยังคงไม่ยอมยุติ แม้กลับเข้ามายังไทย ก็ได้ไปเรียน ศึกษา ฝังตัวเป็น ครู อาจารย์ ตามโรงเรียนสอนศาสนา นักการเมือง และมหาวิทยาลัย เพื่อสอนให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ยอมรับการปกครอง ต่อต้านทหาร เจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อต้านพระมหากษัตริย์ โดยยังมีหลักวาทกรรมสำคัญจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ตามทฤษฎีแบ่งแยกประชาชน ของคาร์น มาร์ก ไทยเอามาใช้ คือ ไพร่ อำมาตย์ คนชั้นสูง ชั้นต่ำ ชนชั้นปกครอง เป็นต้น

ในปัจจุบันหลักคิดเหล่านี้ ยังถูกนำมาใช้ เพื่อหลอกลวง นิสิต นักศึกษา ให้ทำสงครามประชาชน ตามทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ที่สำเร็จในโลก ถึง 1 ใน 3 ของโลกกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ล้มล้างการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

การเมืองปัจจุบันหากเข้าใจหลักทางการเมือง ใจร้อน ไม่ศึกษาอดีตอย่างลึกซึ้ง ก็ย่อมจะเกิดสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองขึ้น นิสิต นักศึกษาจะรวมตัวกันบนท้องถนน ปะทะล้มตายเป็นเบือเหมือนในอดีต ต่างชาติก็จะถือโอกาสเข้ามาแทรกแซง เหมือนในซีเรีย และเวเนซูเอลาในปัจจุบัน จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ลามไปทั่วประเทศ

แม้ในอดีต 26 กุมภาพันธ์ 2500 จอมพล ป. พิบูลณ์ สงคราม ได้จัดการเลือกตั้งขึ้น แต่สุดท้ายประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า เป็นการเลือกตั้งสกปรก มิต่างจาก 24 มีนาคม 2562 ที่ถูกกล่าวหาในลักษณะเดียวกัน โดยทั้งสองวันเลือกตั้ง มีภพโลกาวินาศ ตามหลักโหราศาสตร์ เหมือนกันโดยบังเอิญ หรือเจตนา

หากยังใช้หลักการทหารนำการเมือง เราคนไทยย่อมหนีไม่พ้นสงคราม แต่หากใช้หลักการเมืองนำการทหาร ใช้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ประเทศก็จะผ่านพ้นวิกฤติได้โดยง่าย ทางสองแพร่งทางการเมืองได้เกิดขึ้นแล้ว

ตอนนี้คนไทยคงได้เห็นเชิงประจักษ์มากขึ้น ว่าประเทศหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น เปลี่ยนโดยฝ่ายไหน จะเป็นประธานาธิบดี ประธาน หรือ สังคมธรรมาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ก็เท่านั้นเอง

หากใช้สติ สมาธิ ปัญญา ย่อมมิได้เป็นเรื่องยาก ที่จะนำพาชาติผ่านพ้นวิกฤติ หายนะ พลิกประเทศสู่ความสันติสุข ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ในคุณงามความดี เด็กหันกลับมาเคารพผู้ใหญ่ ดั่งธรรมเนียมดั่งเดิมของความเป็นไทย

ปัจจุบันแม้มีผลการเลือกตั้งออกมา ก็ไม่สามารถมีฝ่ายใดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้ตั้งได้ก็จะขาดเสถียรภาพ และจะไปล้มลงในราว ปี 2563 และจะเกิดการชุมนุมต่อต้าน อภิปรายไม่ไว้วางใจ ล้มงบประมาณ ยาวถึงการล้มการปกครองในที่สุด

หากพิจารณาอย่างใช้ปัญญา เมื่อปปช.รับเรื่องร้องเรียน ชี้มูลความผิด พักการทำงานของกกต. อันจะส่งผลทำให้การรับรองผลการเลือกตั้งยุติลง หยุดการเลือกตั้งสกปรก ที่มาจากการบกพร่องในหลายประการตั้งแต่เริ่มต้น

ลุงตู่เสียสละลาออกจากตำแหน่งหลัก และรักษาการ อันจะเกิดสูญญากาศทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ เปิดทางให้ใช้รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 หมวดพระมหากษัตริย์ ย่อมได้รับการสรรเสริญ ดั่งน้ำจากฟากฟ้ามาชะโลมดินอันร้อนระอุ อันจะยุติสงครามกลางเมือง หายนะ ได้โดยฉับพลัน

นำพระราชดำรัส “รู้รักสามัคคี” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาใช้ ทุกพวก ทุกฝ่าย ทุกสี ทุกพรรค ก็จะหันมาร่วมกันในการปฏิรูปประเทศ (ของจริง) ยุติความขัดแย้ง รุนแรง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากพลเรือน ที่ทุกฝ่ายยอมรับ มีความจงรักภักดี ต่างชาติยินดี ประเทศก็จะเดินหน้าได้โดยง่าย

เริ่มต้นเปลี่ยนสัญลักษณ์ ดนตรี สร้างแผ่นดินใหม่ ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ จะเกิดการพัฒนาใหญ่ แดนศิวิไลซ์จะเกิดขึ้นในทันที สิ่งเหล่านี้คือโอกาสทางสองแพร่งอนาคตของชาติไทย ที่สมารถทำได้โดยง่ายด้วยพระบารมี

“ ฟ้าครามครื่นคลืนฝน จนแผ่นดินต้องสั่นไหว ฟ้าสีทองผ่องอำไพ สันติสุขจะมีชัยในแผ่นดิน “

ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
31 มีนาคม 2562