ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #ดร.เทอดศักดิ์เผยรัฐบาลแห่งชาติ ส่อล่มเตะตัดขากันเอง

#ดร.เทอดศักดิ์เผยรัฐบาลแห่งชาติ ส่อล่มเตะตัดขากันเอง

16 April 2019
1474   0

ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์การเมืองการปกครองได้โพสต์ข้อความระบุว่า

ไม่รู้สึกแปลกใจที่นักการเมือง เริ่มโหยหารัฐบาลแห่งชาติ เมื่อแย่งชิงอำนาจกันเองไม่สำเร็จ ก็หวังจะลากคนนอก อ้างว่าเป็นคนกลาง ทำประเทศสงบ ทั้งที่เคยโจมตีไม่เอาคนกลางเข้ามาบริหาร แต่ตอนนี้กลับเรียกร้องก็เพื่อให้พวกเขาได้อยู่ในอำนาจให้จงได้ เพราะนักการเมืองคือนักแสวงหาอำนาจ อีกอีกกลุ่มหนึ่งก็ขวาง เพราะเกรงจะมิได้อำนาจสูงสุดในการปกครอง อ้างนักการเมืองจะปรับเข้าหากันเอง เพราะทุกคนต้องการเพียงอำนาจในการปกครอง

ประเทศไทยเข้าสู่ การชะงักงันทางการเมือง (political deadlock) หลัง 24 มีนาคม 2562 ดั่งที่เคยเตือนไว้ ตลอดมา เหตุจากรัฐบาลทหารอ่อนการเมือง ทำงานที่ไม่ถนัด เข้าสู่โหมด ล่อ เร่ง ล้ม พลาดหมากนี้คือการล้มการปกครอง

แต่ที่แปลกใจคือ การลากองคมนตรี ลงมาเป็นนายก โดยนักการเมืองต่างรู้เป็นอย่างดีว่า ตลอด 87 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่เคยประสบความสำเร็จ แม้แต่ครั้งเดียวที่เอาองคมนตรี หรือทหาร มาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี แถมทำให้องคมนตรีถูกตำหนิ ต้องทิ้งเรือกลางคัน ไม่ก็ถูกรัฐประหาร ถูกสาปแช่ง ขับไล่ แถมทำสถาบันเสียหายทุกครั้งไป เพราะการเมืองมีแต่เรื่องสกปรก แย่งชิงอำนาจ รุมทึ้งภาษีของประชาชนเข้ากระเป๋าตัวเอง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยจึงเปรียบดั่งกระโถนการเมือง ที่มีแต่คนถ่มถุยใส่ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือร้าย

ตามหลักยุทธศาสตร์ทางการเมืองแล้ว การทำแบบนี้ เรียกว่า “ล่อมาฆ่าทางการเมือง” ทำลายคนที่ดี มีชื่อเสียง ทำลายเกียรติ บารมี ที่เคยสร้างมาทั้งชีวิต อันจะกระทบถึงสถาบันฯ นี้คือความเลวร้ายของนักการเมือง และนักโกงเมือง ที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและพรรคพวก ให้ได้มีอำนาจ

87 ปี หลังคณะราษฏรนำกำลังทหารปฏิวัติ ยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองของไทย บทเรียนของคนนอกที่ไทยประสบความสำเร็จในยามเกิด political deadlock คือ นายกที่มาจากพลเรือน ที่ได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย มีความสามารถ เหมาะกับสถานการณ์นั้นๆ ตามหลักการใช้คนให้ถูกกับงาน ใช้งานให้ถูกกับคน (Put the right man on the right job)ครั้งสุดท้ายหลักคิดนี้ถูกนำมาใช้ แล้วประสบความสำเร็จถึง 2 ครั้งคือ ในยุคนายอานันท์ ปัญญารชุน หลังการรัฐประหารของ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ในปี 2534 และครั้งที่สอง หลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 ที่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภา ได้เปลี่ยนชื่อ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็น นายอานันท์ ปันยารชุน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จนได้รับการยกย่องจากในหลวงในรัชกาลที่ 9 ว่าสมเป็น “รัฐบุรุษ”

ในยุคนี้การเมืองยังคงอยู่ในวงจรอุบาทว์ ใกล้สู่หายนะเข้าไปทุกที เพราะไม่ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ เหลือเพียงหมากเดียวก็จะเริ่มสงครามกลางเมือง หากฝรั่งรับรองใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือประมุขของรัฐ เหมือนทำในซูดานใต้ ซีเรีย ล่าสุดในเวเนซูเอลา ตามหลักแบ่งแยกแล้วปกครอง การตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่มีแต่นักโกงเมือง ที่มุ่งเพียงผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก และจากคะแนนเสียงสส.ที่ไม่แตกต่างกันจะทำให้เกิดการต่อรองอำนาจ ผลประโยชน์ ครั้งใหญ่ จะทำลายคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมาจากไหน เป็นใคร เพราะเงินจะเป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อเสียงในสภา ในการโหวดนายกรัฐมนตรี กฎหมาย งบประมาณ อภิปรายไม่ไว้วางใจ

เงินเหล่านี้ก็จะได้มาจากการทุจริตภาษีของประชาชน ที่มีต้นแบบมาจากการเมืองยุค ปี 2500 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม การเลือกตั้งสกปรก สภาสกปรก ปลายทางคือนายกต้องถูกกล่าวหาทุจริต ติดคุก หรือต้องหลบหนีไปต่างประเทศ

ทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้คือ พึ่งพระบารมี ตามพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ หมวดพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 ที่ได้ตราไว้ ตามหลักประเพณี และลายลักษณ์อักษร ตามหลักการปกครองของไทย ตลอด 87 ปี เมื่อยามเกิด political deadlock การชะงักงันทางการเมือง จะใช้พระราชอำนาจทรงปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับคนไทย

อันเป็นจุดแข็งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข หรือระบอบราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์จะมีพระราชอำนาจ พระราชทานบุคคลที่เหมาะสม ที่ทุกฝ่ายยอมรับให้เข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติ “ปฏิรูปประเทศ” ให้ทุกพวก ทุกฝ่าย ทุกสี ทุกพรรค กลับมารู้รักสามัคคี เริ่มต้นนำชาติสู่แดนศิวิไลซ์ สันติสุขในที่สุด

“ ฟ้าครามคลื่นครืนฝน จนแผ่นดินต้องสั่นไหว ฟ้าสีทองผ่องอำไพ สันติสุขจะมีชัยในแผ่นดิน “

ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
15 เมษายน 2562