ผู้เชี่ยวชาญเผยไวรัสโควิด-19 ได้เริ่มระบาดรอบสองในสหรัฐแล้ว หลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ประชาชนไม่เว้นระยะห่างทางสังคม-ไม่สวมหน้ากากอนามัย แพทย์เตือนระวังลุกลามจนคุมไม่ได้
ศาสตราจารย์ วิลเลียม แชฟเนอร์ จากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNBC โดยระบุว่า ไวรัสโควิด-19 ได้เริ่มระบาดรอบสองในสหรัฐแล้ว ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังคงไม่รักษาระยะห่างทางสังคม และไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย
ศ.แชฟเนอร์ กล่าวว่า ชาวสหรัฐมีการชุมนุมกัน รวมทั้งมีการรวมตัวกันทำพิธีทางศาสนา สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดมากขึ้น พร้อมย้ำว่า การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการป้องกันการแพร่เชื้อ และเจ้าหน้าที่ควรให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องนี้
ทั้งนี้ หลายรัฐในสหรัฐพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 2,162,228 ราย และมีผู้เสียชีวิต 117,858 ราย
ด้าน นพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลิเอ็บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า หากรัฐต่างๆซึ่งกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัส สิ่งนี้ก็อาจจะทำให้การระบาดลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้
นพ.ก็อตต์ลิเอ็บ กล่าวว่า รัฐต่างๆ เช่น อริโซนา เท็กซัส และฟลอริดา ซึ่งกำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ควรดำเนินมาตรการตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อ
“เราคงจะไม่มีการปิดประเทศอีกในฤดูร้อนนี้ หรือฤดูใบไม้ร่วงนี้ ดังนั้นเราจึงต้องหาต้นตอการแพร่ระบาด ซึ่งหากเราไม่ทำเช่นนี้ ก็จะทำให้ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ โดยขณะนี้ สหรัฐมีผู้ติดเชื้อราว 20,000 คนต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงกว่าประเทศอื่น และเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ประเทศอื่นอาจออกมาตรการปิดกั้นชาวอเมริกันเข้าประเทศ เนื่องจากมีอัตราการแพร่เชื้อในระดับสูง” นพ.ก็อตต์ลิเอ็บกล่าว