จากนั้นนายจตุพรกล่าวว่า ผู้จัดงานจากคณะประชาชนปลดแอกในวันนี้น่าจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์หลายอย่างหากยืดหยัดใน 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา โดยยืนยันจุดยืน 2 เรื่อง ของการไม่เอารัฐประหาร และรัฐบาลแห่งชาติ ทั้งนี้ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาสังคมเพิ่งเคยเห็นขบวนการของคนหนุ่มสาวที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งข้อเรียกร้องก็มีความชอบธรรม จึงมีการขานรับจากประชาชนทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมถึงภาคประชาชน
อย่างไรก็ตาม ประธาน นปช.มองว่า การดำรงความมุ่งหมาย 3 ข้อ 2 จุดยืน เพื่อให้ไปถึงปลายทางคือประชาธิปไตย โดยไม่ไปเกี่ยวกับ 10 ข้อเรียกร้องที่มาทีหลัง เนื่องจากหากไปเรียกร้อง 10 ข้อ ตนรับประกันว่า สังคมไทยจะได้เผด็จการ หรือการรัฐประหารแน่นอน
“นี่ต้องพูดอย่างหมดก้นบึ้ง … ผมสนับสนุนแนวทาง 3 ข้อ 2 จุดยืนอันนี้ เพราะเป็นความชอบธรรมที่ไม่มีใครที่จะปฏิเสธกันได้ แต่ทันทีที่เสนอแนวทางทะลุเพดานกันนั้น หาหนทางชนะไม่เจอ และที่สำคัญที่สุดนั้น ในขบวนการการต่อสู้นั้น ประวัติศาสตร์ก็อธิบายความว่า เวลามีเรื่องทะลุเพดาน มีคนจัดการให้ ไม่ใช่จัดการเองเหมือนดังเช่นปัจจุบัน” นายจตุพรกล่าว จากนั้นจึงกล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519
“ถ้าเหนือจากข้อเรียกร้องและจุดยืนแล้ว ไอ้ที่เห็นมันไม่น่ากลัว ไอ้ที่น่ากลัวคือไม่เห็น และผมก็เชื่อว่าจุดจบก็คือภายในรุ่งสาง ก็แอ่นแอ๊นกันไป”
นายจตุพรกล่าวต่อว่า คนหนุ่มสาวทุกวันนี้ต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ และตัดไฟแต่ต้นลม ทั้งยังต้องแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ตนเชื่อว่าจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งเตือนว่าการต่อสู้ที่เน้นเพียงแค่อารมณ์และความสะใจนั้นไม่มีวันชนะ