ล่าสุดเมื่อเวลา 05.00 น. (21 ก.ย.2563) ผู้สื่อข่าวเข้าไปตรวจสอบพบถูกรื้อถอน แล้วโบกปูนทับ โดยที่เจ้าหน้าที่ที่อยู่โดยรอบบอกไม่ทราบ เพราะเพิ่งมาเข้าเวร
โดยก่อนหน้านี้นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำการชุมนุม ได้ระบุว่า การรื้อหมุดก็เหมือนการเหยียบหน้าประชาชน หากใครรื้อ ขอให้พบเจอแต่สิ่งอัปมงคล
ด้านนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ให้สัมภาษณ์ว่าการปักหมุดดังกล่าวว่า ตามหลักการ การกระทำดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) เนื่องจากมีการบุกรุกสนามหลวงซึ่งเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียน นอกจากนี้ ยังมีการขุดพื้นที่เพื่อฝังหมุด โดยทางกรมศิลปากรจะเข้าแจ้งความในวันที่ 21 กันยายน
โดยเรื่องที่ 1 คือ การบุกรุก ทำให้เสียหาย เสื่อมค่า ซึ่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน มีการบุกรุกไปในพื้นที่สนามหลวงซึ่งเป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนกรณีฝังหมุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน ซึ่งมีการขุดพื้น แม้เป็นส่วนที่ทำขึ้นเมื่อครั้งงานพระเมรุ แต่เป็นการทำโดยถูกต้อง ได้รับอนุญาต เมื่อทำแล้ว จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถาน ดังนั้น การฝังหมุด จึงมีความผิดตามกฎหมาย คือการทำลาย และทำให้โบราณสถานเสื่อพลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุอยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายกฎหมาย 2 หน่วย คือ กรุงเทพมหานคร ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่สนามหลวงและกระทรวงวัฒนธรรม ที่เป็นเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ. โบราณสถานฯ 2504 ที่มีหน้าที่ รับผิดชอบโบราณสถาน หากเข้าข่ายความผิดชัดเจน ตัวแทนทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามขั้นตอน
โดยความผิดดังกล่าวจะมีโทษตามมาตรา 32 ข้อหาทำให้โบราณสถานเสียหาย เสื่อมค่า ไร้ประโยชน์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหาก 2 หน่วยงานพิจารณาว่าผิดในส่วนของตัวหมุดก็จะเป็นความรับผิดชอบในการดำเนินการเอาออกเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่พึงมี ในท้องสนามหลวง
รับชมผ่านยูทูบได้ที่ : https://youtu.be/4G54qHw5gc4