ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #อนุทินอัดธนาธร ! พูดเท็จปั่นต้านวัคซีน

#อนุทินอัดธนาธร ! พูดเท็จปั่นต้านวัคซีน

15 March 2021
637   0

!!!!!!!!!!!!ถล่ม‘ทอน’พูดเท็จปั่นวัคซีน

“อนุทิน” อัดยับ “ธนาธร” ให้เอกสารเก่าโกหกประชาชน เผยแผนแม่บทตั้งแต่เดือน มิ.ย.จะฉีดวัคซีนได้เดือนละ 10 ล้านโดส และคาดว่าภายในสิ้นปีเราจะฉีดวัคซีนได้ 60 ล้านโดสหรือ 30 ล้านคน ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรคแจงยิบนักการเมืองโกหกจะทำให้การควบคุมโรคเป็นไปด้วยความยากลำบาก WHO ยันไม่มีเหตุผลที่จะระงับฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เปิดเผยสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 78 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 67 ราย ตรวจพบจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 33 ราย แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 13 ราย, ตาก 1 ราย, อ่างทอง 1 ราย, ปทุมธานี 2 ราย, สมุทรสาคร 16 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 34 ราย แบ่งเป็น ปทุมธานี 2 ราย, สมุทรสาคร 32 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 11 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 26,757 ราย มีผู้ป่วยหายเพิ่มขึ้น 30 ราย รวมหายป่วยสะสม 26,086 ราย อยู่ระหว่างรักษา 585 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย ยอดเสียชีวิตสะสม 86 ราย
สำหรับผู้เสียชีวิตรายใหม่ เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 56 ปี มีโรคประจำตัว เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง มีประวัติเดินทางและพักอาศัยในพื้นที่ระบาดของโรคในจังหวัดสมุทรสาคร ไทม์ไลน์ วันที่ 15 ก.พ. มีอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดกล้ามเนื้อ, วันที่ 19 ก.พ. เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผลตรวจยืนยันพบเชื้อ, วันที่ 23 ก.พ. ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยมากขึ้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในเวลาต่อมาผู้ป่วยมีอาการแย่ลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตในวันที่ 12 มี.ค. ขณะที่สถานการณ์โลกมีผู้ติดเชื้อ สะสม 119,607,324 ราย เสียชีวิตสะสม 2,651,654 ราย ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 116 จำนวน 26,757 ราย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า บิดเบือนประเด็นวัคซีน ระบุว่า ใครโกหกประชาชน ค่ำเมื่อวานนี้ ผมได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมรับฟังการสนทนาเรื่องวัคซีนในแอปพลิเคชัน clubhouse การสนทนาจากหลายมุมมอง ทำให้ได้รับแง่คิดดีๆ เยอะ มีคำถามหลายคำถามที่ผมตอบ ชี้แจง เล่าถึงการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข กว่าจะได้วัคซีนมา และวางแผนจะฉีดวัคซีนกันอย่างไร ได้แลกเปลี่ยนกับสมาชิกที่เข้ามาสนทนา เป็นการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจกันได้พอสมควร
บรรยากาศในการสนทนา แม้จะไม่รู้จักกัน แต่ก็เป็นไปด้วยดี ให้เกียรติต่อกัน และพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นการเมือง ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัคซีน แม้จะมีบางคนจะโยงไปเรื่องการเมือง ผู้จัดการสนทนาก็พยายามแนะนำ ตักเตือน ให้เข้าประเด็นวัคซีน บรรยากาศมาเสียตอนที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ามา แล้วก็เริ่มต้นสนทนาด้วยการกล่าวว่า “คุณอนุทินต้องพูดความจริง อย่าโกหกประชาชน” แล้วก็ยกแผนงานการฉีดวัคซีนที่กรมควบคุมโรค เคยนำไปชี้แจงต่อกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ว่าแผนดังกล่าวประเทศไทยจะฉีดวัคซีน เสร็จสิ้นในปี 2566 มาเป็นหลักฐานว่า การที่ผมพูดว่าแอสตราเซเนกามีความพร้อมที่จะส่งวัคซีนให้เรา และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมจะฉีดวัคซีนให้คนไทยได้เสร็จภายในปี 2564 เป็นเรื่องที่ผมโกหกประชาชน
ผมไม่รู้ว่าคุณธนาธรได้ฟังการสนทนามาก่อนหรือเปล่า จู่ๆ จึงตั้งข้อกล่าวหาว่าผมโกหกประชาชน เป็นข้อกล่าวหาที่ใหญ่มาก ผมจึงต้องสวนไปทันทีว่า “ผมไม่มีทางโกหกประชาชน ผมต้องทำงานแล้วทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไป วันนี้ผมบอกได้เลยว่าทั้ง 60 ล้านโดส จะถูกฉีดภายในสิ้นปีนี้ โดยกรมควบคุมโรคได้ไปศึกษาทุกอย่างหมดแล้ว ยืนยันว่าสามารถขยายกำลังฉีดวัคซีนแต่ละเดือนได้ 5-10 ล้านโดส ฉะนั้นเราสั่ง 60 ล้านโดส เริ่มฉีดในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ก็จะจบในสิ้นปีนี้ และหากเราจะสั่งมาให้ประชาชนในปีหน้า ก็เป็นเรื่องของปีหน้า
“ธนาธร”ใช้เอกสารเก่า
“คุณธนาธรใช้เอกสารเก่าของกรมควบคุมโรคมาพูดแล้วพูดอีก มากล่าวหากระทรวงสาธารณสุข โกหกประชาชนหลายครั้ง และ ส.ส.พรรคก้าวไกลก็รับเอกสารชิ้นนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดมาแล้ว อธิบดีกรมควบคุมโรคเคยชี้แจงไปแล้วว่าเอกสารที่คุณธนาธรนำมาอ้าง นำมาเป็นหลักฐานนั้น เป็นแผนงานเก่าที่ทำกันตั้งแต่เรายังไม่ได้สั่งซื้อวัคซีนได้มากเพียงพอ ซึ่งมีการปรับแผนไปหลายครั้งแล้ว ตามสถานการณ์ที่เราเข้าถึงวัคซีน และซื้อวัคซีนได้เพิ่มขึ้น ในกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีใครใช้แผนการฉีดวัคซีนที่คุณธนาธรนำมากล่าวอ้างอีกแล้ว การทำงานเพื่อควบคุมโรค การบริหารจัดการวัคซีนโควิด ต้องปรับไปตามสถานการณ์ ถ้าไม่ติดตามข้อมูล ถ้ายึดถือข้อมูลเก่า ก็จะตามสถานการณ์ไม่ทัน
แผนงานการฉีดวัคซีนฉบับปัจจุบันที่กระทรวงสาธารณสุขทำและใช้เป็นแผนแม่บทคือ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เราจะฉีดวัคซีนได้เดือนละ 10 ล้านโดส และคาดว่าภายในสิ้นปีเราจะฉีดวัคซีนได้ 60 ล้านโดส หรือ 30 ล้านคน ตามเป้าหมาย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข แถลงหลายครั้งแล้ว การสนทนาในเวทีสาธารณะ ไม่ว่าจะต้องการผลทางการเมือง หรือสร้างความนิยมส่วนตัวก็ตาม ควรจะต้องเคารพทุกคนที่กำลังสนทนา และฟังการสนทนาด้วย และไม่ใช่จะกล่าวหาใคร ด้วยข้อมูลเก่า ข้อมูลเท็จ โดยไม่รับผิดชอบก็ได้
ผมไม่อยากโต้เถียงกับใคร ให้บรรยากาศในห้องสนทนา ที่ผู้จัดการสนทนาเปิดเวทีขึ้นมาเพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนต้องเสียไป ผมจึงเลือกที่จะออกจากห้องสนทนามาเพื่อไม่ให้ หัวข้อสนทนาต้องเปลี่ยนเป็นวัคซีนการเมือง แม้จะเสียมารยาทที่ออกมาโดยไม่ได้ร่ำลา แต่ก็ดีกว่าเสียมารยาทที่ทำให้ผู้อื่น ต้องทนฟังสิ่งที่เป็นความเท็จ และเสียโอกาสที่จะได้รับฟังการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ผมยืนยันว่าผมไม่ได้โกหกประชาชน และไม่เคยใช้วัคซีน เป็นประเด็นการเมืองเรื่องวัคซีน มีหนึ่งคนที่เคยถูกจับได้ว่าโกหกประชาชน คือคนที่พูดเรื่องวัคซีนพระราชทาน
ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวในการแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่าประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของซิโนแวคไปตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-12 มี.ค. ดำเนินการฉีดไปแล้วกว่า 44,409 คน ยังไม่มีรายงานข้างเคียงรุนแรงแต่อย่างใด และทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ ส่วนกรณีที่มีการชะลอฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา เนื่องจากพบว่ามีผู้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังรับวัคซีนที่ยุโรป ทำให้หลายประเทศชะลอการฉีดวัคซีนดังกล่าว รวมถึงประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นว่าอาการลิ่มเลือดอุดตันนั้นไม่น่าจะเกิดจากวัคซีน ดังนั้นขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังรวบรวมข้อมูลและดูข้อมูลอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสรุปข้อมูลได้ในช่วงสัปดาห์หน้า หากไม่มีอะไรก็จะเริ่มฉีดวัคซีนตามแผนต่อไป
นพ.โอภาสกล่าวว่า กรณีมีบางคนได้นำข้อมูลที่บอกว่าควบคุมโรคได้เสนอข้อมูลต่อกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อปลายปี 2563 ว่าจะมีการฉีดวัคซีนครบถ้วนในปี 2566 นั้น ขอชี้แจงว่า ในปลายปี 2563 เป็นสถานการณ์ที่ยังไม่มีการนำวัคซีนมาใช้ การวิจัยก็ยังไม่แน่ใจว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย ป้องกันโรคได้หรือไม่ ตอนนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายคนมีการวิเคราะห์ว่ากว่าวัคซีนจะมีใช้คงใช้เวลาอีกหลายปี ดังนั้นจึงมีการจัดทำแผนเตรียมการฉีดวัคซีนตามข้อมูลที่มีในขณะนั้น แต่ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้จองซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาจำนวน 26 ล้านโดส และทำสัญญาเมื่อวันที่ 27 พ.ย.2563 จึงได้ปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราหาได้
จะเห็นว่าแม้แต่ในขณะนี้ต้น มี.ค.2564 การวิจัยส่วนใหญ่ก็ยังไม่เสร็จสิ้น การใช้ขณะนี้เป็นการใช้ภายใต้สภาวะการฉุกเฉิน ดังนั้นการปรับแผนการฉีดวัคซีนจะต้องปรับเป็นระยะ ให้สอดคล้องกัน เช่น เมื่อประเทศไทยมีการระบาดที่สมุทรสาคร ปทุมธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อปลายปี 2563 เราจึงจำเป็นจะต้องนำวัคซีนจากซิโนแวคเข้ามา 2 ล้านโดสอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์
WHO ให้ฉีดแอสตราเซเนกาต่อ
“ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะมีการปรับเปลี่ยนแผนเสมอ รวมทั้งมีการขอซื้อวัคซีนจากแอสตราฯ เพิ่มจาก 26 ล้านโดสเป็นอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส และเมื่อรวมกับของซิโนแวคเป็นทั้งหมด 63 ล้านโดส ก็ปรับแผนให้ฉีดเร็วขึ้นคือภายในปี 2564 ซึ่งขอยืนยันว่าแผนทั้งหมดนี้ผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ, ครม.และ ศบค.อยู่แล้ว และแถลงต่อประชาชนและสื่อมวลชนเสมอ ซึ่งคิดว่าส่วนใหญ่ก็ทราบดีอยู่แล้ว”
นพ.โอภาสกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ชอบอ้างว่าข้อมูลกรมควบคุมโรคนำเสนอต่อกรรมาธิการสาธารณสุขเมื่อเดือน พ.ย.2563 ว่าเราฉีดวัคซีนให้กับประชาชนล่าช้านั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ขอย้ำว่าการนำข้อมูลเก่าที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงมานำเสนอกับประชาชนจะก่อให้เกิดความสับสน และทำให้การควบคุมโรคเป็นไปด้วยความยากลำบาก การต่อสู้กับเชื้อโรคที่ยากลำบากและต้องมาต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่จริง ไม่ตรงกับสถานการณ์ ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการจงใจหรือไม่ แต่มันส่งผลกับความเชื่อมั่นลดทอนความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ก็จะทำให้คนทำงานประสบความยากลำบากในการทำงานมากยิ่งขึ้น
อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า เราควรมาร่วมกันให้กำลังใจกัน แม้กระทั่งวันนี้เป็นวันหยุด แต่หลายๆ คนก็ไม่ได้หยุด ต้องลงพื้นที่ทำงาน และต้องการความร่วมมือในการต่อสู้กับเชื้อโรค ขอความกรุณารับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงที่ตรงกับความเป็นจริง ขออย่านำข้อมูลเก่ามาจงใจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทุกคน ขอให้ท่านได้ช่วยสื่อสารข้อมูลข้อเท็จจริงกับประชาชนด้วย คนทำงานจะได้ทำงานสะดวกขึ้น
องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงข่าวยืนยันประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) หลังหลายชาติยุโรป รวมถึงประเทศไทย ระงับการใช้งานวัคซีนชนิดนี้ชั่วคราว หลังพบผู้ได้รับวัคซีนมีอาการเลือดแข็งตัวในยุโรป
โฆษกองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนที่ยอดเยี่ยมไม่ต่างจากวัคซีนชนิดอื่นๆ ที่กำลังใช้กันอยู่ และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องระงับวัคซีนชนิดดังกล่าว
นอกจากองค์การอนามัยโลกแล้ว ยังมีหลายประเทศที่ยืนยันจะแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาต่อไป เช่น เยอรมนีและออสเตรเลีย ที่เชื่อมั่นในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตราเซเนกาอยู่ ขณะที่องค์การยาแห่งสหภาพยุโรปที่ระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกาจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเลือดแข็งตัว
ขณะที่บรรดาผู้นำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอินเดีย และประเทศญี่ปุ่น ได้มีข้อตกลงร่วมกันที่จะจัดส่งวัคซีนสำหรับไวรัสโควิด-19 หรือโคโรนาไวรัสเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ล้านโดส ให้กับพื้นที่ส่วนมากของทวีปเอเชียในช่วงก่อนสิ้นปี 2565
โดยคณะกรรมการร่วมจากกลุ่มประเทศดังกล่าว หรือที่เรียกกันว่ากลุ่มควอด ซึ่งถูกก่อตั้งเมื่อปี 2550 ได้มีข้อตกลงร่วมกัน และคาดว่าวัคซีนที่จะใช้ในการจัดส่งนั้นน่าจะเป็นวัคซีนของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่ผลิตจากประเทศอินเดีย โดยการฉีดวัคซีนดังกล่าวจะใช้เพียงแค่เข็มเดียวเท่านั้น
ขณะที่ตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้มีข้อตกลงร่วมกันอย่างหนักแน่นว่าวัคซีนนั้นจะถูกมุ่งเน้นไปที่การจัดส่งไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือว่าอาเซียน ที่มีประชากรจำนวน 500 ล้านคน
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กล่าวว่า ด้วยศักยภาพการผลิตของประเทศอินเดีย เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา การสนับสนุนด้านการเงินจากทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐ และความช่วยเหลือด้านการขนส่งจากประเทศออสเตรเลีย พวกเราจึงได้มีข้อผูกมัดร่วมกันว่าจะจัดส่งวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ล้านโดส
เขาย้ำว่า วัคซีนส่วนมากจะไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก โดยบริษัทของอินเดียที่ชื่อว่า The Indian company Biological Ltd