ข้อเสนอ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ในการจัดตั้งคณะผู้พิพากษาพิเศษ
จากการที่ศาลได้พิพากษาจำคุกแกนนำ กปปส. และไม่ได้รับการประกันตัวในทันที ต้องถูกขังอยู่ 2 คืน แล้วต่อมาก็มีบทความของ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ออกมาพูดถึงความชอบธรรมในการชุมนุมของ กปปส. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับมีข้อเสนอให้จัดตั้งคณะผู้พิพากษาพิเศษขึ้นเพื่อพิจารณาคดีนี้เป็นการจำเพาะ เพราะเป็นคดีการเมือง ตัวผมเองก็ได้ฟังและอ่านคำตัดสินของศาลแล้ว ก็ทำให้ระลึกถึงพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ที่พระราชทานแก่เนติบัณฑิต ไว้ว่า
“กฎหมายนั้น ไม่ใช่ตัวความยุติธรรม เป็นแต่เพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับใช้ในการรักษาและอำนวยความยุติธรรม เท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายใช้เพื่อรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อรักษาตัวบทของกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็นจริงด้วย”
“กฎหมายทั้งปวงนั้น เราบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นปัจจัยสำหรับรักษาความยุติธรรม กล่าวโดยสรุปคือ ให้เป็นแบบแผนแห่งความประพฤติปฏิบัติของมหาชนสถานหนึ่ง กับใช้เป็นแม่บทในการพิจารณาตัดสินความประพฤตินั้นๆ ให้เป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงตรงอีกสถานหนึ่ง โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งไปกว่าความยุติธรรม หากควรจะต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายเท่านั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอจำต้องคำนึงถึงความยุติธรรม ซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้”
ก็คงชัดเจนถึงกฎหมายกับความยุติธรรม
ฉะนั้น แนวคิดการตั้งคณะผู้พิพากษาพิเศษขึ้นพิจารณาคดี กปปส. และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ วุฒิสมาชิก จึงมีเหตุผลและควรอยู่ในความสนใจของผู้รักความยุติธรรมที่จะช่วยกันผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม
วีระชัย คล้ายทอง
อดีตอัยการอาวุโส
15 มี.ค.64