จากกรณีศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ‘แทน’ ลูกชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณกับพวกพ้นผิด คดีรุกป่าเขาแพง เกาะสมุย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 ชี้คำฟ้องโจทก์คลุมเครือ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ด้านอธิบดีอัยการ สั่งคัดคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์โดยเร็วเพื่อตรวจอย่างละเอียด ก่อนทำความเห็นเสนอพิจารณายื่นฎีกาหรือไม่ภาย ใน 30 วัน
วันนี้ (18 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. กับพวก รวม 4 คน พร้อม นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ ได้เดินทางมาศาล เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีรุกป่าเขาแพง หมายเลขดำ อ.3534/56 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร อายุ 58 ปี ผจก.ห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น , นายสามารถ หรือ ‘โกเข็ก’ เรืองศรี อายุ 66 ปี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่นและนายหน้าขายที่ดิน นายแทน เทือกสุบรรณ อายุ 42 ปี และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อายุ 63 ปี อดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 , 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22 ที่ห้องพิจารณาคดี 811
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 27 ก.ย.43 – 5 ต.ค.44 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่31 ไร่ 2 งาน 97 ตร.วา ส่วนจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษา จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากเป็นเรื่องร้ายแรง พวกจำเลยจึงได้อุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ ยกฟ้องพวกจำเลยทั้งหมดและได้รับการปล่อยตัว จากนั้นอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย ทั้งนี้จำเลยทุกคนต้องมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ทั้งนี้ ศาลฎีกาเเผนกคดีสิ่งเเวดล้อมตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1-2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-2 ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ กับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2464 มาตรา 54, 55, 72 ตรี โดยโจทก์ระบุถึงฐานความผิดที่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่อย่างชัดแจ้ง และบรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1-2 ได้บังอาจร่วมกันบุกรุกอันเป็นการทำลายเข้าไปยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลใดได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดิน
โดยจำเลยที่ 1-2 ไม่มีสิทธิครอบครองหรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นความผิดตามบทกฎหมาย ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวอันเป็นการบรรยายฟ้องที่ได้ระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 1-2 ได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งเกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 1-2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1-2 จะเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร ยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุอย่างไรบ้าง เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาและเป็นเรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนต่อไป ทั้งจำเลยที่ 1-2 ก็เข้าใจข้อหาได้ดีโดยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีมาตลอดตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1-2 มีสิทธิครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามกฎหมายและเป็นการซื้อขายต่อมาจากเจ้าของที่ดินรายเดิมการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) ทั้งสามแปลงปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1-2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ประกอบกับคดีนี้ จำเลยทั้งสี่ต่างอุทธรณ์ต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1-2 โดยเห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1-2 ที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1-2 มิได้กระทำความผิด แต่กลับข้ามไปพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3-4 ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลยที่ 1-2 ทั้งที่มูลเหตุของการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ก็สืบเนื่องมาจากที่ดิน ส.ค.1 ทั้งสามแปลงที่จำเลยที่ 1-2 นำมาดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3ก.) ทั้งสามแปลงที่เกิดเหตุ ซึ่งการที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1-2 ต่อไปนั้น อาจเป็นผลให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยงแปลงไป เพื่อให้การวินิจฉัยคดีไม่เป็นการลักลั่น และการกำหนดโทษจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 204(2) ประกอบมาตรา 225 พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี