บิ๊กตู่” ผวาแรงต้านแรง คนทั้งประเทศกำลังอดตายแต่จะซื้อเรือดำน้ำ สั่งทัพเรือ ไอ้เสือถอย เบรกซื้อเรือดำน้ำจากจีน 22,500 ล้านบาทเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน “ธรรมนัส” มาหล่อ นำทัพต้าน ฝ่ายค้านยืนยันไม่ใช่ซื้อแบบจีทูจี แฉ “บิ๊กลือ-อดีต ผบ.ทร.” เล่นตุกติกเร่งรัดโครงการก่อนเกษียณ
หลังมีเสียงคัดค้านจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ทั้งในซีกของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตลอดจนกระแสสังคมในวงกว้างที่ไม่เห็นด้วยต่อกรณีกองทัพเรือพยายามผลักดันให้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 วงเงิน 22,500 ล้านบาทที่จะจัดซื้อจากจีน ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในวันจันทร์ที่ 19 ก.ค.นี้ เพราะเป็นการจัดซื้อในช่วงประเทศกำลังเผชิญวิกฤติโควิด จึงควรนำงบดังกล่าวไปแก้ปัญหาโควิดและช่วยเหลือประชาชนจะเหมาะสมกว่า
ทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ค. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ออกมาเปิดเผยกรณีการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า ความจริงเรื่องนี้กระทรวงกลาโหมได้หารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องถึงเหตุผลความจำเป็นของการเสริมสร้างกำลังทางทะเลรับมือกับสภาพแวดล้อมภัยความมั่นคง โดยเฉพาะมิติใต้น้ำ ที่เรามีความสามารถจำกัด เพื่อรักษาดุลภาพความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลที่มีมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์วิกฤติจากการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็ได้ให้กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการชะลอโครงการจัดหาเรือดำน้ำ หรือยืดเวลาออกไปก่อน โดยกระทรวงกลาโหมได้เห็นถึงปัญหาภาระงบประมาณและความจำเป็นเร่งด่วนในการบริหารจัดการงบประมาณของประเทศ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ และประชาชนภาพรวมในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งในปี 2563 และปี 2564 ที่ผ่านมา ทร.ได้ส่งคืนงบประมาณจำนวน 3,375 ล้านบาท และ 3,425 ล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวมตามความจำเป็นเร่งด่วน
“สำหรับในปี 65 กลาโหมได้ประเมินร่วมกันแล้วว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคยังคงอยู่ และมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมได้สั่งการไปแล้ว ให้กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพเรือพิจารณาถอนแผนงานงบประมาณโครงการเรือดำน้ำออกไปก่อน โดยให้หารือกับกระทรวงกลาโหมของจีนถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องขอชะลอโครงการในปีนี้ออกไปจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” โฆษกกระทรวงกลาโหมระบุ
โฆษกกระทรวงกลาโหมยืนยันว่า โครงการจัดหาเรือดำน้ำของ ทร. เป็น โครงการตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลต่อ รัฐบาล ( G to G ) ที่กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันโดยตรงตามข้อตกลงและโปร่งใส ไม่ผ่านคนกลางหรือบริษัทนายหน้าอื่นใด โดยที่ผ่านมา ทร.ได้ติดต่อตรงกับ กห.และ ทร.จีน ผ่านช่องทางทางการทูตเท่านั้น จึงขอให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม และไม่อยากให้มีการแสวงประโยชน์จากกลุ่มใดๆ หรือการใช้ประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งอาจเกินเลยไปกระทบความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
ทั้งนี้ ก่อนมีการเปิดเผยท่าทีดังกล่าวจากโฆษกกระทรวงกลาโหม พบว่ามีความเห็นคัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือดังระงม แม้แต่จากแกนนำฝ่ายรัฐบาลพลังประชารัฐเอง
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. ได้แสดงจุดยืนไปยังคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที ใน กมธ. พิจารณางบประมาณ 2565 ถึงการตั้งงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำลำ ว่าทางพรรค พปชร.ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนกับการจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเทศอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ยังมีความรุนแรง ดังนั้นการจะใช้งบประมาณใดๆ ต้องพิจารณารอบด้านและให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ซึ่งขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์วิกฤติโรคระบาด เปรียบเสมือนการทำสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ต้องสู้กับเชื้อโรคที่มองไม่เห็น จึงมีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติดังกล่าวให้ผ่านพ้นไปได้ ซึ่งการนำงบประมาณไปจัดซื้อเรือดำน้ำยังมีความจำเป็นเร่งด่วนน้อยกว่าการนำงบประมาณไปแก้ไขปัญหา
โควิด ขอให้กองทัพเรือชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปก่อน
เช่นเดียวกับ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองประธานคณะ กมธ.งบฯ 2565 จากพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้ควรนำงบประมาณไปแก้ปัญหาอย่างอื่นก่อน ไม่เคยมีใครพูดว่าจะสนับสนุนงบซื้อเรือดำน้ำ ยิ่งเมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ต่างแสดงจุดยืนชัดเจนคัดค้านการซื้อเรือดำน้ำ เมื่อเสียงไปทางนี้ พรรคพลังประชารัฐก็ต้องไปทางนี้เช่นกัน รอให้มีความพร้อมแล้วค่อยกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ถ้าปีหน้ายังไม่พร้อมก็ต้องชะลอการจัดซื้อออกไปอีก
ด้านพรรคฝ่ายค้าน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงถึงเรื่องนี้ว่า มีหลักฐานเป็นจดหมายที่ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ ลงวันที่ 23 กันยายน 2563 ส่งถึงนายสู จานปิ้น รองประธานองค์กรบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันการประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน (SASTIND) ขอให้เร่งจัดส่งผู้แทนจากสถานทูตจีนในไทยมาลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2, 3 ก่อนวันที่ 30 กันยายน 2563 มิฉะนั้นสถานการณ์การเมืองไทยอาจต้องทำให้มาเริ่มต้นการจัดหาใหม่ตั้งแต่ต้นอีก พร้อมร้องขอความช่วยเหลือ SASTINDกรณีที่กองทัพเรือได้เซ็นสัญญาต่อเรือ LPD Type 07 1E (เรือชั้นฉางไปซาน) กับทาง SASTIND ไปแล้ว 1 ลำ แต่เรือดังกล่าวยังไม่มีระบบอำนวยการรบ ระบบอาวุธ และอุปกรณ์ตรวจจับใดๆ มีแต่อุปกรณ์พอเดินเรือกลับประเทศไทยได้เท่านั้น อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และจะได้ช่วยเหลือกันในอนาคตที่ทางจีนจะเข้ามาปฏิบัติการในภูมิภาคนี้ จึงขอความกรุณาให้ทาง SASTIND ช่วยสนับสนุนการติดตั้งระบบอำนวยการรบ อาวุธ และ อุปกรณ์ตรวจจับให้มีขีดความสามารถเท่าเทียมกับเรือชั้นนี้ของจีนด้วย เพื่อจะได้ปฏิบัติงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เรื่องดังกล่าวนี้ พล.ร.อ.ลือชัยต้องการลงนามในข้อตกลงซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ก่อนเกษียณ อีกประเด็นคือการไปร้องขอ SASTIND ในลักษณะดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นว่าเร่งเซ็นสัญญาเรือ LPD 6,200 ล้านบาท ในช่วงที่ตนเองมีอำนาจเป็น ผบ.ทร.เท่านั้น โดยอ้างว่ามีงบประมาณจำกัด เอาตัวเรือมาก่อน ไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพของเรือแม้แต่น้อย เป็นการแสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือไปต่อเรือลำนี้มาโดยไม่มีความพร้อมด้านการรบ เป็นการซื้อที่ขาดแผนงานและคำนึงแต่ประโยชน์ที่ได้ซื้อเรือเท่านั้น ที่เสียหายมากที่สุดคือการไปร้องขอให้ SASTIND ติดตั้งระบบอำนวยการรบ ระบบอาวุธและอาวุธต่างๆ ให้นั้น เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของประเทศไทยและกองทัพเรือเป็นอย่างยิ่ง หนังสือดังกล่าวเชื่อถือได้ตนจะต้องรับผิดชอบ หากหนังสือไม่เป็นจริงให้ฟ้องร้องได้เลย” นายยุทธพงศ์ระบุ
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า รัฐบาลและกองทัพเรือพยายามผลักดันให้ผ่านในการประชุมของกรรมาธิการงบประมาณฯ ในวันที่ 19 ก.ค. โดยเฉพาะ กมธ.งบประมาณฯ ในซีกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง เพราะเป็น รมว.กลาโหมต้องเซ็นผ่านการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ อย่ามาลอยตัว อย่าบอกว่าไม่เกี่ยว นอกจากนั้น กมธ.ซีกรัฐบาลยังไม่ยอมให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ 4 คนมาชี้แจง อ้างว่ากลัวติดโควิด ขณะเดียวกันผู้บัญชาการเหล่าทัพกลัวถึงไม่กล้ามาสภาจริงหรือ รายการยุทธภัณฑ์ต่างๆ ของกองทัพก็เป็นความลับไม่ยอมเปิดเผย หาก กมธ.ซีกรัฐบาลไม่ยอม เราจะเสนอให้โหวต หากแพ้ก็แพ้ จะได้รู้ว่าใครจะเอาเรือดำน้ำบ้าง นอกจากนี้ยังมีหลักฐานแฉอีกว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำรอบนี้ไม่ใช่แบบจีทูจี.