กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เตรียมระบบส่งต่อผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการคงที่ และประสงค์เดินทางกลับไปรักษาตัวยังภูมิลำเนา โดยแสดงความจำนงผ่านสายด่วน สปสช. 1330 (กด 15) โดยสปสช. และกระทรวงสาธารณสุข จะประสานจังหวัดปลายทาง และวางแผนการส่งตัวร่วมกับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กองทัพบก กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิดเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้หารือและกำหนดแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา
โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วางระบบการนำส่งผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับภูมิลำเนา เพื่อให้การขนส่งผู้ป่วยเป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันและควบคุมโรค ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อระหว่างการเดินทาง และลดการแพร่เชื้อระหว่างจังหวัด โดยเงื่อนไขการเดินทาง ผู้ป่วยจะต้องมีอาการคงที่ สามารถเดินทางได้ และจังหวัดปลายทางยินยอมรับกลับ ตามมติของคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด นอกจากนี้ ได้ประสานกับกระทรวงกลาโหม กรมการขนส่งทหารบก, กระทรวงคมนาคม, การรถไฟแห่งประเทศไทย (กรณีมีผู้ประสงค์เดินทางจำนวนมาก) ร่วมวางแผนการเดินทางและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
สำหรับผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้โทรแจ้งความจำนงที่สายด่วน สปสช. 1330 (กด 15) จากนั้น สปสช. จะรับผิดชอบประสานงานกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกองทัพบก/การรถไฟฯ เพื่อจัดทำแผนส่งกลับต่อไป ทั้งนี้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้จัดระบบแพทย์ให้คำปรึกษาระหว่างการเดินทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย.
พลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึง กรณีพบผู้เสียชีวิต 4 รายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งพื้นที่ สน.สำราญราษฎร์ สน.ชนะสงคราม และ สน.ทองหล่อ ว่า ทั้ง 4 รายพบติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนพยายามปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เริ่มจากที่ตำรวจเป็นผู้รับแจ้ง เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยความระมัดระวัง โดยมีการจัดเตรียมสถานที่ไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าพื้นที่เด็ดขาดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
จากนั้นได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ แพทย์นิติเวช และ มูลนิธิกู้ภัย ซึ่งยอมรับว่ามีความล่าช้าไปบ้าง แต่ไม่ได้ละเลยการปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจากบางรายเจ้าหน้าที่ต้องกู้ชีพ อีกทั้งการเก็บศพกรณีเช่นนี้ต้องมีขั้นตอนมากกว่าเก็บศพทั่วไป และ ที่สำคัญมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่อง จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง อยากให้ประชาชนเห็นใจผู้ปฎิบัติ
โดยไทม์ไลน์ผู้เสียชีวิต 4 ราย คือ รายแรกเสียชีวิตภายในตรอกบ้านพานถม แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร ตำรวจได้รับแจ้งมีประมาณ 11.00 น.ว่ามีผู้เป็นลมล้ม ตำรวจประสานแพทย์ช่วยเหลือให้โดยออกซิเจน และกู้ชีพ กระทั่งเวลา 17.00 น.ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ ตำรวจจึงประสานแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลวชิระเข้าตรวจสอบโดยพบว่าผู้ตายเสียชีวิตมีอาการปอดอักเสบ และไข้สูง 38.5 องศา ก่อนในเวลา 22.00 เจ้าหน้าที่ป่อเต็กตึ๊ง ได้ทำการเก็บศพไปพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลวชิระ ผลพบติดเชื้อโควิด-19 กรณีนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการการช่วยชีวิต 2-3 ชั่วโมง ดำเนินการตามกระบวนการทุกขั้นตอน ซึ่งโซเชียลบางโซเชียลให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในการปฎิบัติหน้าที่
รายที่ 2 ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเวลา 18.31 น. ว่ามีผู้เสียชีวิตหน้าศึกษาภัณฑ์ ถนนราชดำเนิน แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร พบศพนายเสรี เรืองโรจนฤทธิ์ อายุ 59 ปี ชาวจังหวัดระยอง ประสานแพทย์ นิติเวชโรงพยาบาลวชิระ เข้าตรวจสอบเวลา 19.15 น. เจ้าหน้าที่ป่อเต็กตึ๊ง ได้ทำการเก็บศพไปพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลวชิระ เบื้องต้นอยู่ระหว่างรอผลตรวจว่ามีการติดเชื้อโควิดหรือไม่
รายที่ 3 ในพื้นที่ สน.สำราญราษฎร์ โดยพบผู้เสียชีวิต นายบรรพต เจิมเจนการ อายุ 81 ปี ภายในบริเวณวัดสุทัศน์ฯ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เข้าเก็บศพในเวลา 21.00 น. จากการชันสูตรพลิกศพพบผลตรวจติดเชื้อโควิด-19
รายที่ 4 ในพื้นที่ สน.ทองหล่อ โดยพบผู้เสียชีวิต บริเวณหน้าศูนย์การค้าเทสโก้ โลตัส สาขาพระรามที่ 4 ไม่มีเอกสารประจำตัว (บุคคลเร่ร่อน) ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเวลา 20.53 น. ต่อมาในเวลา 23.15 น.แพทย์นิติเวช รพ.จุฬาฯ ชันสูตรพลิกศพ พบไม่ติดเชื้อโควิด-19.