ญึ่ปุ่นเตือนเหตุก่อการร้าย
เรื่องไม่เป็นเรื่องแต่ควรรับฟัง
แตกตื่นกันพอประมาณครับ กับอีเมลคำเตือนจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น มีไปถึงพลเมืองชาวญุี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งประเทศไทย ให้ระมัดระวังอาจมีการก่อเหตุก่อการร้าย
แม้ว่าอีเมลคำเตือนจะเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะเป็นการสื่อสารเฉพาะกับพลเมืองของตนเอง แต่ในโลกสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้อีเมลนี้หลุดกระจายไปทั่ว และยิ่งก่อปมปริศนาขึ้นมาอีก ว่าทำไมใช้แต่ภาษาญี่ปุ่น มีลับลมคมในอะไรอีกหรือเปล่า
คำตอบจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย คือไม่มีครับ และสถานเอกอัครราชทูตก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม นอกจากยืนยันว่า มีการส่งถึงคนญี่ปุ่นในทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย
เพราะโลกออนไลน์ โลกโซเชียลจะกระจายอย่างรวดเร็วและจะมีส่งต่อไม่หยุด ทางทีมโฆษกสนง.ตำรวจแห่งชาติก็ต้องเร่งชี้แจง โดยระบุว่าเป็นคำเตือนตามวงรอบ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่กระนั้น ผลกระทบอย่างแรกคือภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ช่วงที่รัฐบาลเพิ่งเปิดและขับเคลื่อนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์และสมุยพลัส อีกทั้งจะเริ่มอีก 6 จังหวัดท่องเที่ยวรวมทั้งกรุงเทพฯในวันที่ 1 ต.ค.นี้
ความไม่มั่นใจในสวัสดิภาพและความปลอดภัย จะผลไปถึงนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ตัดสินใจแล้วและอยู่ระหว่างตัดเสินใจมาท่องเที่ยวประเทศไทย เป้าหมายที่ททท.ตั้งไว้ย่อมได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่พ้น นทท.จะเลือกไปเที่ยวในภูมิภาคอื่น แผนการฟื้นตัวของหลายจังหวัด ย่อมต้องยากมากขึ้น เป็นเรื่องที่ปฏิเสธยาก
แต่ผลกระทบอีกด้านหนึ่ง คือเรื่องความมั่นคง เพราะคำเตือนจากประเทศญี่ปุ่นย่อมไม่ธรรมดา โดยปกติจะมีการสืบเสาะหาข่าว และส่วนใหญ่จะใช้ทีมงานที่มีประสบการณ์ลงพื้นที่เป้าหมายตระเวณหาข่าวเหมือนกับที่ได้เห็นในโลกฮอลลี่วูด อย่างเจ้าหน้าที่สายข่าวของสหรัฐที่ลงพื้นที่หาข่าวในตะวันออกกลาง กระทั่งทราบแม้แต่ที่ซ่อนของซัดดัม ฮุสเซ็น และโอซามา บิน ลาเดน ย่อมถือว่ากลั่นกรองมาแล้วหลายชั้น
ขณะที่ญุี่ปุ่นเองก็มีหน่วยงานอย่างไจก้า หรือองค์กรร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น กระจายอยู่ทั่วไปเพื่อคอยให้คำแนะนำแก่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเข้าถึงข่าวสารจึงมีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
เรื่องการแจ้งเตือนข่าวความเคลื่อนไหว หรือข่าวเตรียมก่อวินาศกรรม ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ถือเป็นเรื่องปกติ ในอดีตประเทศไทยก็เคยได้รับการแจ้งเตือนหลายครั้ง เช่น สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายก หน่วยราชการลับอิสราเอลที่ชื่อมัสซาด ได้แจ้งเตือนเรื่องกลุ่มก่อการร้ายฮิซบอเลาะห์ 3 คน จะใช้ไทยเป็นพื้นที่โจมตีชุมชนชาวอิสราเอล หรืออาจใช้เป็นทางผ่านของสารตั้งต้นทำวัตถุระเบิด เพื่อไปปฏิบัติการในต่างประเทศ กระทั่งนำไปสู่การจับกุมตัวอาทริส ฮุสเซ็น ชาวอาหรับถือพาสพอร์ตสวีเดน พร้อมของกลางปุ๋ยยูเรีย 4 พันกิโลกรัม และแอมโมเนียมไนเตรท 30 ถัง ถังละ 30 กิโลกรัม ในอาคารเช่าที่จังหวัดสมุทรสาคร
ประเทศไทย เคยตกเป็นพื้นที่ก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติ อาทิ ระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ ปี 58 หรือเหตุการณ์ระเบิดบ้านพักกลางกรุง โดยกลุ่มก่อการร้ายชาวอิหร่าน ปี 55 ทำให้หลายช่วงเวลา รวมทั้งกรณีชุมนุมประท้วงทางการเมือง 2 ฝ่ายของคนไทยกันเอง กลายเป็นพื้นที่อันตรายจากการประกาศเตือนพลเมืองของหลายประเทศ
โบราณว่าไว้ ขนาดจิ้งจกร้องทักยังต้องฟัง คำเตือนโดยประเทศหรือหน่วยงานที่มีศักยภาพและใช้เครื่องมืออันทันสมัยก็ควรฟังและระวังไว้บ้าง ก็คงไม่เสียหลาย แต่อย่าแตกตื่นจนเกินเหตุ
ส่วนทางรัฐบาลย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร กับข่าวลือก่อการร้าย ในสถานการณ์ที่ไทยกำลังนับถอยหลังสู่การเปิดประเทศ หลังโควิด 19
ประจักษ์ มะวงศ์สา