สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษาลงโทษให้จำคุก 6 ปี นายสุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) และให้ชดใช้เงินจำนวน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ในคดีแก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) โดยมิชอบ
ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดตั้งแต่ในช่วงเดือนธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา และส่งเรื่องอัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฏหมาย
โดยคำฟ้องสรุปว่า จำเลย ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ทศท.ทำหน้าที่บริหารงานภายในองค์กร มีหน้าที่ปฏิบัติงานก่อให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร เมื่อระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2544 – 15 พฤษภาคม 2544 จำเลยปฏิบัติหน้าที่ ผอ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งกระทำความผิดกฎหมายหลายบท โดยทำสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัดมหาชน (AIS) ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ สัญญากำหนดว่าบริษัทเอไอเอสจะต้องลงทุนอุปกรณ์ทั้งหมด และยกให้ ทศท.ก่อนที่จะนำไปให้บริการแก่ผู้ใช้บริการและกำหนดให้เอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์ปีที่ 1-5 อัตราร้อยละ 15 ปีที่ 6-10 อัตราร้อยละ 20 ปีที่ 11-15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16-20 อัตราร้อยละ 30
ขณะที่ เอไอเอส มีหนังสือลงวันที่ 22 มกราคม 2544 ถึง ผอ.ทศท. ขอให้พิจารณาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า โดยให้เหตุผลว่า ทศท.ปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายกรณีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (Tac) จากเดิมอัตราร้อยละ 200 ต่อเลขหมาย ต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของหน้าบัตร แต่นายวิเชียร นาคสีนวล ผอ.บริหารผลประโยชน์ เห็นว่ากรณีมิใช่เป็นการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่าย แต่เป็นการกำหนดอัตราค่าเชื่อมโยงขึ้นใหม่ และมิใช่การลดส่วนแบ่งรายได้ เหตุผลไม่สมเหตุผล จึงไม่พิจารณาปรับลดส่วนแบ่งรายได้ และเมื่อเทียบกับเงินที่บริษัทTac จ่ายให้บริษัท กสท. และ ทศท.แล้ว บริษัทTac จ่ายเงินมากกว่าเอไอเอสจ่ายให้ ทศท.
ต่อมามีการจัดทำกรณีศึกษาแบบอัตราก้าวหน้าและอัตราคงที่ เสนอต่อนางทัศนีย์ มโนรถ รอง ผอ.ทศท. และนายสายัณห์ ถิ่นสำราญ ผอ.การเงินและงบประมาณได้สั่งให้ศึกษาเพิ่มเติม โดยหลังจากมีการประชุม คณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมแล้ว ได้รับข้อเสนอของเอไอเอสและกำหนดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญาและจำเลยได้สั่งการให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ทำเอกสารเสนอกรรมการ ทศท.ให้ทันการประชุมครั้งต่อไป และการประชุม ทศท.ครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2544 ที่ประชุมมีความเห็นว่าที่เอไอเอสขอลดส่วนแบ่งรายได้จากอัตราร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมแล้ว ทศท.และประชาชนน่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง จึงมีมติเห็นชอบส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรจ่ายเงินล่วงหน้าวันทูคอลที่ ทศท.จะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร โดยมีเงื่อนไขให้ ทศท.เจรจากับเอไอเอสให้ได้ข้อยุติก่อน ส่วนการนำส่งส่วนแบ่งรายได้ ให้ ทศท.เป็นรายเดือน และการนำผลประโยชน์ที่เอไอเอสได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการโดยตรง ให้กำหนดเงื่อนไขท้ายสัญญาและให้ ทศท.ติดตามผลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลปรับปรุงหลักเกณฑ์เก็บส่วนแบ่งในโอกาสต่อไป แต่จำเลยมิได้ดำเนินการเสนอผลการศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาทบทวนอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสให้คณะกรรมการ ทศท.พิจารณาอีกครั้ง ตามมติคณะกรรมการ ทศท.จนกระทั่งคณะกรรมการ ทศท.ทั้ง 7 คน พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545
แต่จำเลยในฐานะ ผอ.ทศท.ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตดำเนินกิจการครั้งที่ 6 ให้กับเอไอเอสและกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ วันทูคอล ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท.ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในอัตราร้อยละ 25-30
เมื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก กับสัญญาที่แก้ไข ทศท.สูญเสียรายได้ 17,848,130,000 บาท และสูญเสียรายได้ในอนาคตถึงสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน อีกเป็นเงิน 53,490,900,000 บาท รวมเป็นเงิน 71,339,030,000 บาท ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่าการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติมครั้งที่ 6 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอไอเอสตามคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุดกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และตามรายงาน ปปช. การที่จำเลยปิดบังข้อเท็จจริงของฝ่ายบริหารผลประโยชน์ของ ทศท. ได้มีความเห็นเสนอจำเลยว่า บริษัทTac ต้องจ่ายให้ภาครัฐมากกว่าเอไอเอส จำเลยย่อมทราบข้อมูลความแตกต่างการพิจารณาการขอลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสเป็นอย่างดีแล้ว แต่มิได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวเสนอให้ ทศท.ทราบถึงความแตกต่าง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 มาตรา 157
ทั้งนี้ บริษัท ทีโอที จำกัด ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 จากการที่จำเลยลงนามข้อตกลงครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอส เป็นผลให้ผู้ร้องสูญเสียรายได้ คิดเป็นเงิน 66,060,686,735.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงิน 93,710,927,981.84 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาให้ยกฟ้อง และยกคำร้องของบริษัท ทีโอที ผู้ร้อง
ขณะที่ นายอำนาจ พวงชมภู อธิบดีศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในขณะนั้นได้ทำความเห็นแย้งโดยเห็นควรให้ลงโทษจำเลย
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับว่า จำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151(เดิม) จำคุก 9 ปี พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559