05พ.ย.2564-ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจ เรื่อง ม.112 : เบื้องหลังและความจำเป็น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,272 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 – 4 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ การมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-อังกฤษ เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.0 ระบุ สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักของการก่อร่างสร้างชาติในการกอบกู้เอกราช ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขของราษฎร และร้อยละ 96.1 ระบุ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิก หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพราะ การมีอยู่ ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ เกือบร้อยละร้อย หรือ ร้อยละ 99.1 ไม่ต้องการให้ใคร หรือ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม. 112 มาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ ในขณะที่ร้อยละ 98.9 ระบุ จำเป็นต้องป้องกันและปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี บิดเบือนใส่ร้ายและจาบจ้วง ร้อยละ 98.4 ระบุ ประมุขของทุกประเทศ เป็นเกียรติศักดิ์ศรีและสถาบันหลักของชาติ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองด้วยกฎหมาย และร้อยละ 98.4 เช่นกัน ระบุ ไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และ ม.112 มาเป็นเครื่องมือปลุกปั่นเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้ล้มล้างสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาภักดีของคนในชาติ
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.2 ระบุมีความพยายามจากขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ เข้ามาแทรกแซง เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้านสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติไทย และร้อยละ 96.2 เชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านสถาบันและแกนนำรับเงินและผลประโยชน์อื่น เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจในการโค่นล้มสถาบัน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่สมประโยชน์กับต่างชาติ ต้องการการเปลี่ยนแปลงการปกครองและตักตวงผลประโยชน์ของชาติไปจึงไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำสถาบันอันเป็นที่รัก ศรัทธาและศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติไปแสวงหาผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรงบานปลาย อันนำไปสู่ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติได้
โดยประชาชนทั่วไปและทุกภาคส่วนน่าจะนำข้อมูลที่ค้นพบนี้ไปวิเคราะห์โจทย์สำคัญนี้ให้ชัดเจนว่าโจทย์อยู่ที่ไหนระหว่างหลักนิติธรรมของมาตรา 112 หรือ กระบวนการนำมาตรา 112 ไปใช้ และอื่น ๆ ที่ทุกฝ่ายต้องตอบให้ถูกโจทย์และจะไปสู่แนวทางแก้ไขได้ถูกทางนำไปสู่สันติสุขและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า หลักนิติธรรมของมาตรา 112 เป็นหลักที่สำคัญต่อการปกครองประเทศที่มีความเป็นสากลเพราะนานาประเทศย่อมมีกฎหมายพิเศษคุ้มครองประมุขของประเทศผู้ใดในประเทศนั้น ๆ จะละเมิดหรืออาฆาตมาดร้ายประมุขของประเทศไม่ได้ โดยประชาชนคนไทยทั่วไปก็ทราบดี แต่มีเพียงคนบางกลุ่มที่พยายามบิดเบือน จุดประเด็นให้เกิดเป็นเชื้อไฟและพัดโหมให้กลายเป็นความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชนที่อาจลุกลามบานปลายได้
“เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นความพยายามของขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ ที่แทรกแซงเพาะเชื้อก่อเหตุวุ่นวายนอกประเทศอย่างที่ทำไปในฮ่องกงและอาหรับ เข้ามาเอื้อผลประโยชน์ให้แกนนำขบวนการล้มล้างสถาบันในประเทศไทย ที่ทุกฝ่ายย่อมรู้เท่าทันและควรช่วยกันป้องกันไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแสวงหาอามิสสินจ้างและผลประโยชน์อื่น ๆ ทั้งทางการเมืองและการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติปั่นหัวคนไทยให้ขัดแย้งกันเอง ตักตวงผลประโยชน์ออกนอกประเทศ นำสู่ความอ่อนแอของชาติไทยในทุกมิติ และเปิดพื้นที่ให้ประเทศไทยซึ่งเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มและมิตรภาพกับทุกประเทศ กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงล่อเป้าต่อการปะทะและทำลายผลประโยชน์ระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาค จนไม่ใช่ดินแดนแห่งความสงบสุขดังที่เคยเป็น จะเห็นได้จากการเริ่มเกิดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติไทยและพัฒนาความรุนแรงต่อเนื่องมา” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว