ดร.ณฐพร โตประยูร
อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
เป็นข้อกล่าวหาที่ประชาชนอยากทราบว่า“เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ผมและประชาชนส่วนใหญ่ มีความเชื่อว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว
เป็นเรื่องจริง ที่จะพิสูจน์ได้ว่า
ท่านประยุทธ์ ลืมสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่ รัฐบาลคสช. นโยบายยกเลิกการยกเว้นภาษีประเภทที่เอื้อประโยชน์แก่พวกเศรษฐี นายทุน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
๘ ปีที่เข้ามาบริหารประเทศ แต่ในทางกลับกัน ยุครัฐบาลนี้ พวกเศรษฐีนายทุน กับเฟื่องฟูได้รับการเอื้อเฟื้อมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้แก่ประชาชนสาธารณูปโภคพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติอยู่ในมือของนายทุนไม่ว่า จะเป็นค่าไฟฟ้า ราคานำ้มัน ก๊าซธรรมชาติ โทรศัพท์
รัฐบาลประยุทธ์ ได้สร้างคำนิยามใหม่ว่า“ฉ้อฉลเชิงอำนาจ” โดยการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ “ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาดประชารัฐ” ขึ้น ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยจนกลายเป็นประเทศที่เหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เพราะกลุ่มนายทุนได้รับการเอื้อเฟื้อในการลดหย่อนภาษีและส่วนต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ ทำให้ช่องว่างระหว่างคนจน–คนรวย ถ่างกว้างขึ้น เกิดการแบ่งแยกความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ จนมหาเศรษฐี ๒๔ตระกูลในประเทศไทย หรือคนเพียงร้อยละ ๑ของประเทศนี้มีทรัพย์สินมากกว่าร้อยละ ๖๗ของประเทศ
รัฐบาลฯ ปล่อยให้นายทุนผูกขาดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น กรณีไฟฟ้า ให้มีการสำรองไฟฟ้าล้นเกินถึง ๓๙.๔ % อย่างสูญเปล่า และไฟฟ้าที่สำรองแม้จะไม่ได้ถูกผลิตออกมา แต่ก็ยังถูก “บวกเข้าไปในค่าไฟฟ้า” ที่ประชาชนต้องจ่าย เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่าย” และไม่น่าแปลกใจ เอกชนรายใหญ่ที่สุดที่มีสัญญาผลิตไฟฟ้าให้แก่รัฐ ก็คือ บริษัท กัลฟ์เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๖ ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีคำวินิจฉัยให้แก้ไขส่วนเกินของสำรองไฟฟ้า แต่รัฐบาลก็มิได้ดำเนินการใดๆ เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนายทุนสามานย์ที่เป็นพรรคพวกของตน
กรณีของโทรศัพท์ ยุคคำสั่ง คสช. ให้อำนาจเลขาธิการ กสทช. ใช้ดุลยพินิจขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไป และยังขยายระยะเวลาการประกอบกิจการให้นานกว่า ๑๕ ปี ยืดหนี้ ๔ ปีเท่ากับ ยกประโยชน์หมื่นล้านให้ผู้ประกอบการโดยไม่ได้กล่าวถึงดอกเบี้ย ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ อภิมหาเศรษฐีและนักลงทุนเฉพาะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๓ ราย เช่น กรณีของ ทรูมูฟผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ ตระกูลเจียรวนนท์กรณีของ เอไอเอสผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือตระกูลชินวัตร และ กรณีของ ดีแทคผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ ตระกูลเบญจรงคกุล ให้อภิสิทธิ์แก่ผู้ประกอบการ ๓ ราย ที่ได้ยืดชำระหนี้ออกไปแล้วให้ทำ 5G โดยไม่ต้องประมูล ผลตามมาตลาด 5G ของประเทศไทยมีผู้ประกอบการเพียง ๓ รายแบบกึ่งผูกขาด
เรื่องก๊าซธรรมชาติ ก็เช่นเดียวกัน กระทรวงพลังงาน ผลักดันการเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ ให้เอกชนนำเข้า และบริษัทที่ได้รับอนุญาต คือบริษัทของเจ้าพ่อพลังงาน มีสิทธิจัดหาและนำเข้ารวม ๖.๓๗ ล้านตันต่อปี กลุ่มนายทุนสามานย์สร้างความร่ำรวยจากการได้สัมปทานโครงการใหญ่ๆของรัฐ ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และส่วนกำไรที่ได้จากการขายหุ้น เช่นราคาหุ้นตอนออกขายในราคา ๔๕ บาท ใช้เวลาเพียง ๒ ปี หุ้นขึ้นเป็น ๑๗๙.๕๐ บาท ทำให้นายทุนพวกนี้มีผลกำไรเป็นแสน ๆ ล้าน และอีกตัวอย่าง ก็คือ หุ้นบมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย) เดิมราคา ๖๐ บาท ในเดือนกรกฎาคม ต่อมา ๒๘ สิงหาคม ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ราคาหุ้นสูงสุดที่ ๘๓๘ บาท เป็นผลให้นายทุนกลายเป็นเศรษฐีในช่วงระยะเวลาสั้น ๆและเศรษฐีพวกนี้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไรการขายหุ้นดังกล่าว เหตุผลที่รัฐอ้าง เพื่อสนับสนุนพัฒนาตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อไหมว่าทำมา ๔๖ ปีแล้วครับ ยังไม่เลิกสนับสนุน อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ
นี่คือ ตัวอย่างรัฐบาลฯ ที่อุ้มนายทุนและไม่ปฎิบัติตามนโยบายที่เคยให้ไว้กับประชาชนดังกล่าวข้างต้น ทั้ง ๆ ที่กำไรจากการขายหุ้นในแต่ละปี มากกว่า งบประมาณแผ่นดิน และเงินส่วนนี้ ก็นำกลับมาทำร้ายประเทศชาติ โดยการสนับสนุนกลุ่มที่ก่อการล้มล้างสถาบัน ใช้เงินซื้อนักการเมือง ให้กลุ่มทุนมีอำนาจ แต่งตั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง ที่เป็นพรรคพวกของกลุ่มนายทุนเข้าไปมีอำนาจในการอนุมัติอนุญาต และเอื้อประโยชน์โดยออกกฎหมายเป็นเครื่องมือ จนได้ชื่อว่าเป็น “การฉ้อฉลเชิงอำนาจ” หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะพัฒนาประเทศ ลดความเลื่อมล้ำ ช่วยเหลือประชาชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ต้องดำเนินการตามนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน เช่น การเก็บภาษีเงินได้กำไรจากการขายหุ้น ภาษีจากการประกอบกิจการของกลุ่มนายทุนสามานย์และไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าว นำทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนไปอยู่ในมือของเอกชน
ถ้ารัฐบาลประยุทธ์ บริหารประเทศตามนโยบายดังกล่าวข้างต้น และไม่อุ้มพวกนายทุนสามานย์ ก็จะสามารถลดภาษี VAT ๗% ลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคที่จำเป็นได้อย่างแน่นอน ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างมหาศาล และจะเป็นรัฐบาลฯ ที่ประชาชนให้การสรรเสริญยกย่อง ฉะนั้น ในระยะเวลาที่เหลือน้อยนิด รัฐบาลประยุทธ์ จึงสมควร “จัดการแก้ไขในสิ่งผิด เพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”
ดร.ณฐพร โตประยูร
อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
๑๒ เมษายน ๒๕๖๕