เรื่องฮอต ประเด็นฮิต » #หมอปลาไม่หยุด ! ท้าทายรัฐมนตรี อ้าง “อย่าผูกขาดศาสนา” หลังมีมติให้พศ.แจ้งจับ

#หมอปลาไม่หยุด ! ท้าทายรัฐมนตรี อ้าง “อย่าผูกขาดศาสนา” หลังมีมติให้พศ.แจ้งจับ

29 May 2022
354   0

 

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.65 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา กับพวก นําคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่วัดต่าง ๆ อ้างว่าเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของพระภิกษุ โดยนำคณะเข้าบุกรุกวัด ที่พักสงฆ์ และกุฏิที่อยู่อาศัยหลายพื้นที่ ว่า


จากการหารือของคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พบว่าการกระทำดังกล่าวละเมิดข้อกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และมติที่เกี่ยวข้องหลายข้อ ดังนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 และข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ พ.ศ.2553


ในส่วนของการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ การลงโทษพระภิกษุสงฆ์กรณีที่ละเมิดพระธรรมวินัย เป็นไปตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 หลักเกณฑ์การลงนิคหกรรมนั้นต้องเป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ออกตามความมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ซึ่งตามกฎมหาเถรสมาคม ผู้มีอำนาจ คือ ผู้พิจารณากับคณะผู้พิจารณาชั้นต้น คณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์และคณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ซึ่งเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการทั้งหมด ผู้ที่ไม่ใช่บุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบพระภิกษุได้ การกระทำของหมอปลาและพวกจึงไม่เหมาะสม และส่งผลให้พระภิกษุไม่ได้รับความเป็นธรรม


นายอนุชา ระบุอีกว่า ได้กำชับและสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยย้ำให้ประสานความร่วมมือกับพระสังฆาธิการในพื้นที่ปกครอง สอดส่อง ดูแลผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมดังเช่นกรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่คิดร้ายต่อพระพุทธศาสนา ในส่วนของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคณะสงฆ์ เป็นอำนาจตามกฎมหาเถรสมาคมที่จะพิจารณาความผิดและบทลงโทษ การที่ฆราวาสจะเข้าไปก้าวก่ายและเอาผิดเรื่องของสงฆ์ไม่สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือปฏิบัติมากว่า 2,500 ปีแล้ว การกระทำของหมอปลาและพวกจึงถือเป็นการทำให้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาหลักของชาติเสื่อมเสีย และไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หากพุทธศาสนิกชนท่านใดพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ขอให้รีบแจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป


นายอนุชา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายนิติกรณ์ของสำนักงานพระพุทธศาสนา ไปรวบรวมข้อมูลและดูว่ามีการกระทำผิดตอนไหนอย่างไรหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดทางอาญาที่ยอมความไม่ได้ ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตามไม่ได้มีการสั่งการอะไรเป็นพิเศษ รวมทั้งไม่ได้มีการวางกรอบระยะเวลาการดำเนินการ


ขณะที่ นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พุทธศาสนิกชนต้องให้ความเคารพพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา และส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา อย่าถือวิสาสะหรือเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง เข้าไปก้าวล่วงอำนาจของคณะปกครองสงฆ์ ตั้งตนอยู่เหนือกฎหมาย ทำให้ประชาชนสับสน


ความผิดของสงฆ์ ต้องพิจารณาโดยคณะสงฆ์ ซึ่งได้กำหนดไว้ในกฏ มส. ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์อย่างชัดเจน ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสในการตัดสินหรือชี้ผิดชี้ถูกพระภิกษุ ทุกอย่างมีกระบวนการ และวิธีการ ชึ้งต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ


“ยืนยันว่า ที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์พระภิกษุสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ดำเนินการร่วมกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ตามกระบวนการขั้นตอนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด เรื่องพุทธศาสนาเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรอบคอบความละเอียดอ่อน เนื่องจากกระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน จึงไม่ปรากฏเป็นข่าวเหมือนกับข่าวของประชาชนทั่ว ๆ ไป”


ผอ.พศ. กล่าวอีกว่า มาตรการและกลไลต่าง ๆ ในการปกป้องพระพุทธศาสนามีประสิทธิภาพ ประชาชนเชื่อมั่นได้ ขออย่าได้กังวล หากพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาของพระภิกษุ บุคคล กลุ่มบุคคล ขอได้แจ้งมายังสำนักงานพระพุทธศาสนา สายด่วน 1374


“อย่าดำเนินการเองโดยพละการ เพราะอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองได้ ระเบียบ กฎหมายกำหนดชัดเจน มิใช่หน้าที่ของประชาชนในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวพุทธศาสนิกชน ควรให้ความเคารพต่อพระภิกษุสงฆ์” นายสิปป์บวร กล่าว


ด้าน นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เปิดเผยว่า ตนไม่กลัว ให้ไปดูรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 67 ว่าเขียนไว้ว่าอย่างไร มาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย


อย่าผูกขาด หมอปลาก็เป็นพุทธศาสนิกชน เป็นชาวพุทธเหมือนกัน ถ้ามาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนามันทำงาน และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในมาตรการหรือกลไกดังกล่าว มันก็จะไม่มีใครวิ่งมาหาหมอปลาหรอก กฎหมายเขายังแก้ไขปรับปรุง แล้วเครื่องมือหรือกลไกของพวกคุณปรับปรุง หรือสร้างขึ้นมาหรือยัง อย่าผูกขาดฝ่ายเดียว ทำให้ครบ


“ผมบอกว่ามันไม่ใช่ คุณไปดูรัฐธรรมนูญกันใหม่ ผมก็คือพุทธศาสนิกชน เมื่อมีคนร้องเรียนมาว่ามีพฤติกรรมพระแบบนี้ ทำไม่ดี และผมก็ไม่ได้ไปคนเดียว และสุดท้ายมันก็เป็น เพราะทุกอย่างมันมีหลักฐาน มันมีที่มาและที่ไป วันนี้คุณพยายามสร้างกลไกของพวกคุณกันเอง เพื่อปกป้องใครหรือเปล่าผมไม่รู้ คุณจะมาผูกขาดให้เฉพาะกลุ่มของคุณมันไม่ได้ เพราะเราต้องใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน เราต้องเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าพอคุณมีอำนาจหน่อย คุณใช้อำนาจของคุณไปเหนือคนอื่น ผมว่ามันไม่ใช่ ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ผมต้องมาปกป้องพุทธศาสนา ผมถามว่าถ้าพวกคุณทำกันมาเนี่ย มันจะมีเหตุการณ์แบบนี้หรือ อย่าคิดว่าผมอยู่ฝั่งไหน แล้วต้องมาเล่นโจมตีฝั่งนั้น ผมอยู่ฝั่งคนที่เขาเดือดร้อนและเสียหาย ผมไม่ได้เกรงกลัวอำนาจรัฐหรอก คุณหาว่าผมสติไม่ค่อยดี ถ้าคุณหาว่าผมสติไม่ดีเนี่ย คนไม่ดีอย่างผม ไม่เคยไปโกงกินภาษีประชาชน แต่คนดีอย่างพวกคุณมีหรือเปล่าผมไม่รู้”