เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2565 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ว่า สภามีความตั้งใจที่จะจัดทำกฎหมายให้เสร็จตามที่วิป 2 ฝ่ายตกลงกัน คือในวันที่ 19 ส.ค. แต่เนื่องด้วยสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จเพราะมีผู้อภิปรายมากกว่าสมัยก่อน ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิ์ของสมาชิกที่จะอภิปราย ขณะเดียวกันประธานก็ขอความร่วมมือให้อภิปรายตามกรอบเวลา สำหรับการอภิปรายเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก่อนจะลงมติประธานในที่ประชุมได้เรียกสมาชิกแสดงตนก่อนที่จะโหวตให้ความเห็นชอบ แต่ขาดสมาชิกเพียง 2 คนทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ประธานจึงสั่งปิดประชุมและนัดประชุมในวันอังคารที่ 23 ส.ค.นี้
ประธานสภาผู้แทนฯ กล่าวต่อว่า หากสภาพิจารณากฎหมายงบประมาณไม่แล้วเสร็จภายใน 105 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็ต้องกลับไปใช้ร่างที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ ส่งไปยังวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ แต่เชื่อมั่นว่าในการพิจารณาวันที่ 23 ส.ค.จะพิจารณาเสร็จในวาระ 3 ไม่ว่าจะดึกขนาดไหน แต่ถ้ายังไม่อยากให้เสร็จก็ต้องพิจารณาต่อไปเพราะยังไม่ครบกำหนด 105 วัน ที่จะครบในวันที่ 29 ส.ค.
“พวกเรานั่งดูกันอยู่ก็เห็น พยายามจะให้เสร็จ 3 วันตามที่ตกลงกันไว้ แต่ต้องยอมรับว่าไม่เหมือนสมัยก่อน ยิ่งช่วงปลายๆ อภิปรายกันน้อยเพื่อให้ผ่าน แต่ตอนนี้ผู้อภิปรายยังมาก ก็มีการปรับเวลา 7 นาทีเหลือ 5 นาที ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือดี ก็ปฏิบัติได้จริง” นายชวน กล่าว
เมื่อถามว่า สภาพยายามยืดการพิจารณาให้ถึงวันที่ 23 ส.ค. ที่ตรงกับวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะครบวาระ 8 ปี ที่จะนำไปสู่การยุบสภาหรือไม่ นายชวนตอบว่า การพิจารณากฎหมายในฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่มีปัญหา และสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อว่าไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้านนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมให้ความร่วมมือประชุม เชื่อว่าจะพิจารณาวาระ 2 เสร็จและลงมติวาระ 3 ได้ แต่การลงมติวาระ 3 พรรคเพื่อไทยจะลงมติไม่เห็นชอบ เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่มีการปรับแก้ไข และการลงมติวาระ 2 รายมาตรานั้น พรรคเพื่อไทยแสดงจุดยืนมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย คาดว่าพรรคฝ่ายค้านจะลงมติในทิศทางเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นกฎหมายสำคัญ
“ส.ส.รัฐบาลที่มี 260 คน หากระดมเสียงเชื่อว่าจะทำให้ผ่านได้ แม้ฝ่ายค้านจะไม่เข้าร่วมประชุมแม้แต่คนเดียว แต่หากการพิจารณาไม่แล้วเสร็จอาจเป็นไปได้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคไม่อยากให้ผ่าน”
เขากล่าวว่า กฎหมายงบประมาณไม่เกี่ยวกับวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่ายนิติบัญญัติยังทำหน้าที่ต่อไปได้ ยกเว้นนายกฯ ยุบสภา แต่ยังเชื่อว่ารัฐบาลต้องทำให้กฎหมายงบประมาณผ่าน เพราะเป็นกฎหมายสำคัญและมีผลกระทบกับประชาชน
จากกรณี นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายระบุถึงงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 37,219 ล้านบาท เน้นโครงการก่อสร้าง ไม่สัมพันธ์กับการจัดซื้อครุภัณฑ์ โดยเฉพาะ รพ.บุรีรัมย์จะได้รับการจัดสรรถึง 598.5 ล้านบาท มากกว่า รพ.อื่นๆ แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรจบกระจุกตัว ไม่เป็นธรรม อาจเอื้อพวกพ้องหรือไม่ และไม่สัมพันธ์กับประชาชน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้มี ส.ส.ที่บุรีรัมย์ที่เดียว เราไม่ใช่พรรคพลังบุรีรัมย์ แต่เป็นพรรคภูมิใจไทย มี ส.ส.ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก ทุกที่ การเลือกที่รักมักที่ชังไม่มี ตนเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย ไม่ใช่รัฐมนตรีสาธารณสุขประจำบุรีรัมย์ การเสนองบประมาณของ รพ.ต่างๆ เป็นหน้าที่ของนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) เสนอผ่านคณะกรรมการเขตสุขภาพ ตามระบบ service plan เป็นผู้พิจารณา ส่งมาที่ส่วนกลาง เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของข้าราชการประจำ เสนอมาแล้วก็ถูกตัดไปตั้งเยอะ เพราะฉะนั้นตนยืนยันว่าไม่ได้มีการจัดงบประมาณไปลงบุรีรัมย์เพื่อเอื้อพวกพ้องอะไร ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับ เราต้องเชื่อถือข้าราชการที่มีการกลั่นกรองมาแล้ว
“เราจัดสรรทุกที่ คนป่วยไม่ได้มีแค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง อีกทั้งงบประมาณ สธ.ถูกตัดไปตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนตรงนั้นด้วย เสนอขาขึ้นไป 100% กลับลงมาแค่ 40% ไปทวง 60% ให้ประชาชนเถอะ เราอยากได้ตรงนี้มากกว่า อย่าไปเล่นการเมืองกับระบบสาธารณสุข เพราะงบที่ถูกตัดไปมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการระบบสุขภาพแน่นอน ใครตัดก็รับผิดชอบ” นายอนุทินกล่าว.