วันนี้ (31 ส.ค. 65) เวลา 13:30 น. ณ ศาลอาญา รัชดา นายอานนท์ นำภา พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือถึงประธาน คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และอธิบดีศาลอาญา เพื่อขอให้สอบสวนและดำเนินการทางวินัยต่อ นายอรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีศาลอาญา
นายอานนท์ ระบุว่า การยื่นหนังสือในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2565 เป็นวันนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในคดีดังกล่าว โจทก์ และจำเลยได้แถลงแนวทางการต่อสู้คดีต่อผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะที่นั่งพิจารณาคดี โดยผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะได้กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์จำนวน 1 นัด และนัดสืบพยานจำเลยจำนวน 6 นัด ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลได้จัดทำรายงานการพิจารณาให้แก่พนักงานอัยการโจทก์ และจำเลย ทราบถึงรายละเอียดจำนวนพยานและจำนวนวันนัดสืบพยานของแต่ละฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2565 ปรากฏว่า นายอรรถการ ฟูเจริญ ในฐานะรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ออกคำสั่งท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ในคดีดังกล่าว ให้ทำการตรวจพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะกรณียังมีการกำหนดให้สืบพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดประเด็นพิพาทในคดี และพยานความเห็น
ซึ่งต่อมาวันที่ 4 ส.ค. 2565 ศาลอาญาได้มีหมายแจ้งคำสั่งมายังจำเลยว่า ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้นัดตรวจพยานหลักฐานเพิ่มเติมในวันที่ 5 ก.ย. 2565 โดยมีนายอรรถการ ฟูเจริญ ในฐานะผู้พิพากษาลงชื่อในหมายแจ้ง
นาย อานนท์ กล่าวต่อว่า ตนเองในฐานะจำเลยของคดีนี้เห็นว่า ได้รับความเสียหาย เพราะอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเป็นอำนาจของผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดี โดยคดีนี้ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณาคดีได้พิจารณาแนวทางการต่อสู้คดี และมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานตามที่ได้ระบุไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลนั้น ย่อมต้องถือว่าผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณาคดีได้ใช้ดุลพินิจมีคำสั่งเกี่ยวกับการตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว อันเป็นอำนาจตามกฎหมายที่เป็นอิสระของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดี
ดังนั้นการที่ นายอรรถการ ฟูเจริญ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งไม่ได้เป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีในคดีหมายเลขดำที่ อ.1395/2565 จึงไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งให้มีการตรวจพยานเพิ่มเติมได้ ถือเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
สำหรับ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 188 ได้รับรองหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษาว่า ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 66 ที่กล่าวว่าข้าราชการตุลาการต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการพิจารณาคดีของข้าราชการตุลาการอื่น เป็นเหตุให้การพิจารณาพิพากษาคดีของข้าราชการตุลาการอื่นขาดความเป็นอิสระหรือความยุติธรรม