ผู้คนมากกว่า 70,000 คน รวมตัวกันบริเวณศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของกรุงปราก เมื่อวันเสาร์ (3 ก.ย.) ในการประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดยกล่าวหาให้ความสำคัญกับยูเครน ประเทศที่ถูกสงครามฉีกขาดเป็นชิ้นๆ มากกว่าประชาชนของตนเอง
พวกผู้ประท้วงส่งเสียงร้องตะโกน “สาธารณรัฐเช็กต้องมาเป็นลำดับแรก” เน้นย้ำถึงภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงภายในประเทศแห่งนี้ อันสืบเนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งทะยาน ปัญหาวัคซีนโควิด-19 เช่นเดียวกับประเด็นคนเข้าเมือง
บรรดาผู้ประท้วงที่รวมตัวกันบริเวณจัตุรัสวาตสลัฟ สัญลักษณ์ของกรุงปราก เรียกร้องให้รัฐบาลขวาจัดของนายกรัฐมนตรีแปเดอร์ เฟียลา ลาออกจากตำแหน่ง แม้เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน
ป้ายประท้วงหนึ่งเขียนข้อความว่า “ดีที่สุดเพื่อยูเครน แต่สำหรับเราต้องสวมเสื้อกันหนาว 2 ชั้น” อ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับบิลค่าไฟเครื่องทำความร้อนในฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน
ราคาพลังงานกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั่วยุโรป ตามหลังอุปทานก๊าซจากรัสเซียลดลง ซึ่งมันส่งผลกระทบทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
“การเดินขบวนในจัตุรัสวาตสลัฟเป็นไปอย่างสงบ เราไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาร้ายแรงใดๆ เราประเมินตัวเลขผู้เข้าร่วมชุมนุมจนถึงเวลา 12.30 น.อยู่ที่ 70,000 คน” ตำรวจสาธารณรัฐเช็กระบุในบนทวิตเตอร์
สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของอียูในปัจจุบัน อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยจากยูเครนมาแล้วราวๆ 400,000 คน นับตั้งแต่ยูเครนถูกรัสเซียรุกรานในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รวมถึงมอบความช่วยเหลือทั้งด้านการทหารและด้านมนุษยธรรมอย่างเป็นกอบเป็นกำแก่ประเทศที่ถูกสงครามฉีกขาดแห่งนี้
พรรคฝ่ายค้านหลัก 2 พรรค ประกอบไปด้วยพรรค ANO พรรคแนวคิดประชานิยมของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเศรษฐี อันเดรจ บาบิส และพรรค SPD พรรคขวาจัด ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ผลการลงมติในวันศุกร์ (2 ก.ย.) รัฐบาลของเฟียลา เอาตัวรอดจากศึกซักฟอกครั้งนี้ได้
เฟียลา อ้างว่าการชุมนุมครั้งนี้จัดโดยกลุ่มคนฝักใฝ่รัสเซีย ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพวกสุดโต่ง และพวกที่มีผลประโยชน์สวนทางกับผลประโยชน์ของสาธารณรัฐเช็ก “ชัดเจนว่าการโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียและความเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อมูลมีอยู่จริงในดินแดนของเรา และบางคนก็เชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด”
(ที่มา : เอเอฟพี)