กระบวนการยุติธรรมที่สังคมกดดัน
…………\\\\\\\\\\\\…………………
โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม ศึกษากรณี คดีนายวรยุทธหรือ”บอส” อยู่วิทยา ทายาทเศรษฐีกระทิงแดง
ความเป็นมาและสภาพปัญหา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555. เวลา 5นาฬิกาเศษ ได้เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์รถเฟอร์รารีเฉียวชน รถจักยานยน ขับขี่โดย ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต
หลังเกิดเหตุ สารวัตรปราบปราม สน.ทองหล่อ พา นายสุเวศ หอมอุบล** ลูกจ้างของครอบครัวอยู่วิทยา ได้มอบตัวต่อพนักงานสอบสวนว่า เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ
พตอ. วิรดล ทับทิมดี** พนักงานสอบสวน ได้รับตัวไว้เป็นผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลดำเนินคดี ผู้ต้องให้ให้การรับสารภาพ ศาลได้ลงโทษจำคุกและเปรียบปรับโทษจำคุก รอลงอาญา อัยการไม่อุทธรณ์
สังคมกดดันขบวนการยุติธรรมเบื้องต้นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ถูกกล่าวหาว่า ได้สร้างพยานเท็จ ยินยอมให้ นายสุเวศ หอมอุบล** รับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ และเป็นข่าว
เป็นเหตุให้ นายวรยุทธหรือ”บอส” อยู่วิทยามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของผู้ตาย และผู้ต้องหาเพิ่งดื่มเครื่องดืมแอลกอฮอล์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว หลังจากผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ตำรวจก็ไม่สามารถนำผู้ต้องหานี้เข้าสู่ขบวนการยุติธรรมได้ เป็นเหตุใหพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บังคับบัญชา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองทนายความ
ถูกสังคม กล่าวหาว่า แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ มีการสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เป็นข่าวทางสื่อมวลชน สังคมกดดันกระบวนการยุติธรรม
พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งแต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน สอบข้อเท็จจริงและเสนอนายกรัฐมนตรี ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายวรยุทธหรือบอส แยู่วิทยา ผลการสอบข้อเท็จจริง นายวิชา มหาคุณอ้างว่า พยานกลับคำให้การ จึงเป็นพยานหลักฐานใหม่
อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและ สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีกับ นายวรยุทธหรือบอส อยู่วิทยา ตามความเห็นข้อเสนอแนะของนายวิชา มหาคุณ นั้น จึงขัดต่อหลักนิติธรรม จึงเป็นกรณีศึกษา
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 5 นาฬิกาเศษ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุตำรวจว่ามีเหตุรถยนต์รถเฟอร์รารี ชน รถจักยานยนมีนายดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อเป็นผู้ขับขี่ ได้ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณถนนสุขุมวิทชอย 45
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่ นายวรยุทธ หรือบ้อส อยู่วิทยา เป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถประมาทด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้รถจักรยานยนต์ผู้ตายได้รับความเสียหาย ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ตาย
คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาคือ ผู้ต้องหา ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวนมีกล้องวงจรปิดสถานที่เกิดเหตุเป็นพยาน ตรงกับคำให้การ นายจารุชาติ มาดทอง ให้การเป็นพยาน
ยืนยันว่าในวันเกิดเหตุผู้ต้องหา ขับมาด้วยความเร็วตามปกติรถจักยานยนต์ของนายดาษวิเชียร์ ผู้ตาย ขับรถมาทางช่องทางเดินรถซ้ายสุดโดยมิได้เปิดไฟ เกิดเสียการทรงตัว แล้วหมุนเข้าไปใน ทางเดินรถของผู้ต้องหา ในลักษณะขวางตัดหน้าใกล้ทางกลับรถ ในทางเดินรถรถยนต์ของ ผู้ต้องหา และขวางรถที่ผู้ต้องหาขับมาในระยะกระชั้นชิด
วันเกิดเหตุ ผู้ตาย จึงไม่ได้ขับจักรยานของตน ให้อยู่ ในช่องเดินรถด้านซ้ายตามปกติ เจือสมกับคำให้การของพ.ต.ท.สุรพล เดขรัตนวิไชย ผู้เชี่ยวชาญของศาลชึ่งเป็นพยานคนกลาง ให้การว่า ผู้ต้องหาขับรถในขณะชน นั้น ความเร็วไม่เกิน 80 กม/ชม จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า ผู้ตายเปลี่ยนช่องทางเดินรถอย่างกระทันหัน เพื่อกลับรถในช่องทางรถยนต์ของผู้ต้องหาที่ขับขี่มาทางตรง นั้น
เห็นว่าในภาวะเช่นนั้นไม่ว่า”ผู้ต้องหา จะขับมาในลักษณะเช่นใด ย่อมไม่อาจจะหลบหลีก เพื่อมิให้ชนกับรถจักรยานยนต์ผู้ตายขับขี่ได้ จึงมิใช่เป็นผลโดยตรง ที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกันรถกับผู้ต้องหา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
แม้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานความเร็ว คดีบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหา จะให้การกลับไปกลับมาว่า ผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูง
อีกทั้ง พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ จะไม่นำคำให้การของพ.ต.ท.สุรพล เดขรัตนวิไชยผู้เชี่ยวชาญของศาลและผลพิสูจน์ความเร็วของรถยนต์ผู้ต้องหา ที่พยานให้การประกอบหลักฐานว่า”นายบอส”ขับรถในขณะชนความเร็วตามปกติมาพิจารณาก็ตาม
ก็ไม่ทำให้เท็จจริง ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงไป การกระทำผู้ต้องหาจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตามข้อกล่าวหาได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2553
* หมายเหตุ •
พลอ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีขับรถประมาท เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่อยากให้ต่างชาติเห็นว่าเป็นคดีการเมือง จึงแต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ ชึ่งอตีดเป็นผู้พิพากษา เป็นประธานสอบสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับมอบหมายว่า นั้น
*ด้วยความเคารพ *
ในการตรวจข้อเท็จจริงนั้นตามหลักสากล ต้อง ไม่มี”อคติ” คดีมีมูลความผิดตามข่าวและสังคมกดดัน หรือไม
มีเจ้าหน้าที่ประจำไม่ว่าพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ นักการเมือง ทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้องในความช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม
การให้ความเห็นของประธานสอบข้อเท็จจริง มีหลักกฏหมายใด รองรับ หรือไม และความเห็นต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เว้นแต่จะมีเหตุอื่น
เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดสอบสวนทางวินัย และดำเนินคดีอาญา ข้อเสนอแนะของนายวิชาฯ เป็นเพียงความเห็นเท่านั้นแต่ อัยการตำรวจ ชึ่งปฎิบัติตามหน้าที่ ต้องถูกลงโทษโดยไม่มีความผิด
จึงเป็นกรณีศึกษาเพื่อหามาตราการคุ้มครองสิทธิของบุคคลให้พ้นจากการถูกกลั่นแกล้งได้
ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม