มทภ.4 ย้ำหน่วยความมั่นคง ยกระดับ รปภ.เมืองเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ด้าน จนท.ฉก.ร.5 จับกุมวัยรุ่น ลักลอบถอดหมุดรางรถไฟ
ตามที่ได้เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดขบวนรถไฟขนส่งสินค้าจาก หาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ตู้ขนส่งสินค้าตกรางจำนวน 10 ตู้ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ได้เกิดเหตุระเบิดอีกหนึ่งครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บ 4 ราย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงยกระดับมาตรการในการดูแลสถานที่สำคัญ รวมทั้งเส้นทางคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมบูรณาการกำลังทุกภาคส่วน ควบคุมพื้นที่ล่อแหลม โดยเฉพาะในเขตเมืองและเขตเศรษฐกิจสำคัญ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดสืบสวนขยายผลนำตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษตามกฎหมายให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่พี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวในพื้นที่
📘 โดยในวันนี้ (12 ธันวาคม 2565) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ได้บูรณาการการปฏิบัติร่วมกัน 3 ฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อปฏิบัติตามแผนการรักษาความปลอดภัยเมืองเศรษฐกิจ ร่วมกันเดินลาดตระเวนเส้นทางรถไฟ เมื่อมาถึงพื้นที่ หมู่ที่ 3 บ้านท่าข่อย ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ได้ตรวจพบรางรถไฟถูกถอดน็อตออกไป จำนวน 80 ตัว จึงแจ้งให้แขวงทางการรถไฟปาดังเบซาร์ดำเนินการซ่อมแซม และได้สืบสวน ติดตามการก่อเหตุดังกล่าว พบว่ามีชายวัยรุ่น 2 คน นำน็อตพร้อมสกรูมาขายที่ร้านขายของเก่า ในตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ทราบชื่อ คือ นายองอาจ เผือกผ่อง และนายไพร อินทรีย์ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเข้าจับกุม ตัวนายองอาจฯ ได้ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ผลการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า นำเงินที่ได้จากการขายหมุดรางรถไฟไปซื้อยาเสพติด สำหรับผู้ต้องหาอีก 1 ราย ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการติดตามจับกุมตัว
สำหรับความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตเมืองเศรษฐกิจ ทั้งเมืองหาดใหญ่และเมืองสงขลา ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท