กรณีดาราสาวไต้หวันออกมาแฉว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยรีดไถเงิน จำนวน 27,000 บาท ช่วงที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ด่านตรวจของ สน.ห้วยขวาง ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าดาราสาวไต้หวันมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง ซึ่งผิดกฎหมาย แต่ล่าสุด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง 1 ใน 7 นาย ที่อยู่ในด่านตรวจที่เกิดเหตุคืนนั้น ยอมรับว่า มีการรีดไถเงินจากดาราสาวไต้หวัน 27,000 บาทจริงนั้น
เมื่อวันที่ 30 มกราคม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและอดีตเจ้าของสถานบันเทิงชื่อดัง ระบุว่า “ผมรอฟังความจริงจาก ผบช.น. หลังฟังคำโกหกหลอกลวง หาเรื่องสาวไต้หวันคนพูดความจริง หากครั้งนี้ยังโกหกอีกแม้แต่คำเดียว ผมจะแถลงข่าวเปิดโปงให้ดู หลักฐานอยู่ในมือผมแล้ว”
30 ม.ค.2566-พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันอ้างถูกตำรวจเรียกรับเงินว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการด่วน ให้ ผบช.น.สั่ง พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ช่วยราชการ หลังจากมีข้อมูลว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันถูกเรียกรับเงิน พร้อมกำชับ น.1 ดำเนินการตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงและดำเนินคดีอาญาในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดในเหตุดังกล่าวทุกราย อย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกำชับไปยังตำรวจนครบาล และตำรวจทุกพื้นที่ กรณีการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัด หรือการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ต้องกระทำตามอำนาจหน้าที่ เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามระเบียบแนวทางที่ ตร.ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ใดๆอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยให้ผู้บังคับบัญชาเพิ่มความเข้มในการตรวจตราการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ไม่ให้เกิดพฤติกรรมในทางไม่ดี
“หากพบว่าพื้นที่ใดมีการกระทำความผิดซ้ำขึ้นอีก จะพิจารณาโทษถึงระดับหัวหน้าสถานีตำรวจ แต่ถ้าเกิดเป็นความผิดซ้ำซาก จะพิจารณาโทษถึงระดับผู้บังคับการ โดยจะดำเนินการเด็ดขาดทั้งทางวินัยอาญา และปกครอง”