12 ก.พ. 2566 – นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ในปี 2565 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 10 ล้านคน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับปี 2566 มองว่าภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยภาคการท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของจีดีพี ซึ่งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นนั้น จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเติบโตตามไปด้วย เช่น ธุรกิจโรงแรม ที่ปัจจุบันมีอัตราการจองห้องพักเติบโต 70-80%
“ปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเติบโตได้มากกว่า 20 ล้านคน หลังจากมีการเปิดประเทศ สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจก็ฟื้นตัวดีขึ้นด้วย โดยต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็ว หลังจากนโนบายการเปิดประเทศตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่เริ่มภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ถือว่าฟื้นตัวได้ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวอีกว่า สถานการณ์เงินบาทที่มีความผันผวนในขณะนี้นั้น มองว่าเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการดำเนินนโนบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ที่แม้ตอนนี้ตัวเลขจะดีขึ้น แต่ก็ยังยืนยันไม่ได้ว่าเฟดจะมีการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตอนไหน เป็นเรื่องที่ยังต้องติดตาม โดยเรื่องนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการติดตามดูแลใกล้ชิด
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยถึงแผนการขับเคลื่อนการส่งออกในปี 2566 เพื่อผลักดันการส่งออกให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1-2% มูลค่า 10-10.1 ล้านล้านบาท ว่า กรมฯ ได้กำหนดแผนการขับเคลื่อนการส่งออก 2 รูปแบบ คือ แผนปกติ และแผนวอร์รูม โดยแผนปกติ มีทั้งสิ้น 195 แผน หรือกว่า 450 กิจกรรม มีเป้าหมายเพื่อรักษาตลาดเดิม และเพิ่มยอดการส่งออกให้ได้เพิ่มขึ้น เช่น สหรัฐฯ แคนาดา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกา และลาตินอเมริกา โดยจะเน้นการจัดคณะผู้แทนการค้า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การเชิญผู้นำเข้ามาไทย การจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และการผลักดันการค้าออนไลน์ เป็นต้น
ส่วนแผนวอร์รูม จะผลักดันการส่งออกใน 4 ตลาดศักยภาพ ได้แก่ ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ CLMV และจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือกับภาคเอกชน และเอกชนต้องการให้บุกเจาะ โดยตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิรัก ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าส่งออก 20% CLMV เพิ่ม 15% เอเชียใต้ เพิ่ม 10% และจีน เพิ่ม 1%