สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ค.2567 โดยในส่วนการส่งออกข้าวไทยในเดือน พ.ค.2567 นั้น พบว่า ไทยส่งออกข้าวได้ทั้งสิ้น 6.59 แสนตัน หดตัว 22.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 440.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2567) ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ 4.57 ล้านตัน ขยายตัว 16.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 2,659.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 39.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ราคาส่งออกข้าวไทยในเดือน พ.ค.2567 อยู่ที่เฉลี่ย 667.5 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.47% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน (เม.ย.2567) ที่ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 651.4 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวไทยเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.2567) อยู่ที่ 665.4 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 19.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า การส่งออกข้าวไทยในเดือน พ.ค.2567 ที่หดตัวทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าการส่งออกนั้น นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หลังจากในช่วง 10 เดือนก่อนหน้านี้ (ก.ค.2566-เม.ย.2567) การส่งออกข้าวไทยขยายตัวมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในช่วงต้นเดือน พ.ค.2567 นั้น มีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับข้าวไทย คือ เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ได้ประกาศจะนำข้าวอายุ 10 ปีในสต๊อกรัฐบาล ออกมาเปิดประมูล ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากฝ่ายต่างๆว่า จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงข้าวไทย (อ่านประกอบ : ก่อนโละ‘ข้าว’ล็อตสุดท้าย! สรุปบทเรียนเจ๊ง’จำนำข้าว’-ปิดโครงการฯไม่ลง เหตุคดีค้างศาลเพียบ)
(เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2567 ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวสาร ‘ล็อตสุดท้าย’ ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกฯ ปี 2556/57 ที่โกดังเก็บข้าว 2 แห่ง จ.สุรินทร์ พร้อมทั้งประกาศว่าจะให้ องค์การคลังสินค้า นำข้าวเก่าดังกล่าวออกไปเปิดประมูล)
ก่อนหน้านี้ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าในเดือน พ.ค.2567 ปริมาณส่งออกข้าวจะมีมากกว่า 900,000 ตัน เนื่องจากผู้ส่งออกมีสัญญาส่งมอบข้าวจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวขาวซึ่งมีทั้งข้าวตามสัญญาส่งมอบแบบรัฐต่อรัฐให้แก่อินโดนีเซีย และข้าวตามสัญญาของภาคเอกชนที่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดหลักในภูมิภาคแอฟริกา เช่น โมซัมบิก แองโกล่า ไอวอรี่โคสต์ แคเมอรูน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตะวันออกกลาง เช่น อิรัก รวมทั้งตลาดในแถบอเมริกา เช่น เม็กซิโก เป็นต้น
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับความคืบหน้าการประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 1/2567 จำนวน 1.5 หมื่นตัน นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่า จะเลื่อนการสรุปผลการประมูลออกไปเป็นวันที่ 24 มิ.ย.นี้ เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อสงสัยต่างๆให้ชัดเจนก่อน
“ตามที่มีการเปิดเผยข่าวหรือมีข้อสงสัยในหลายประเด็นเกี่ยวข้องกับการประมูลครั้งนี้ ทั้งว่ามีการจัดฉาก สร้างนอมินีหรือไม่ และมีข้อสงสัยว่าบริษัทที่ประมูล จดทะเบียนเมื่อปี 2564 ทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีเงินหมุนเวียนแค่ 1 ล้านบาท สังคมก็เลยสงสัยว่าเงินจดทะเบียนเท่านี้ และงบดุล 1 ล้านบาท จะมีศักยภาพเพียงพอมาประมูลข้าว 285 ล้านบาทจริงหรือไม่ จึงต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อทำให้โปรงใสและสิ้นความคลางแคลงใจของสังคม” นายภูมิธรรม ระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา อคส. ได้เปิดให้เอกชนที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 7 ราย ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 1/2567 ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 จากคลังสินค้า 2 แห่งใน จ.สุรินทร์ โดยผลประมูลปรากฎว่า บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้งฯ ชนะประมูลซื้อข้าวสารจากทั้ง 2 คลัง โดยเสนอราคาสูงสุดที่ 286.3 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 19.07 บาท/กิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด มีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ที่ 999/9 หมู่ที่ 8 ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ,จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2563 โดยมีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท แจ้งประเภทธุรกิจล่าสุดว่า ขายส่งวัตถุดิบอื่นๆทางการเกษตรซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีกรรมการบริษัท 3 ราย ประกอบด้วย น.ส.วรรณิสา ทองจิตติ ,น.ส.ทานตะวัน นาสมใจ และนายศิวะ มาประเสริฐ
ส่วนงบแสดงฐานะการเงินล่าสุด พบว่าในปี 2566 บริษัทฯแจ้งว่า มีสินทรัพย์รวม 1,174,870.22 บาท โดยเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 1,174,870.22 บาท ,มีหนี้สินรวม 12,420.00 บาท โดยเป็นหนี้สินหมุนเวียน 12,420.00 บาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 1,162,450.22 บาท ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯแจ้งว่า มีรายได้รวม 2,293,623.00 บาท มีรายจ่ายรวม 2,047,342.65 บาท และมีกำไรสุทธิ 246,180.35 บาท