การที่นายภูมิธรรม เวชยชัยและนายนภดล ปัทมะยังยืนยันอย่างหัวชนฝาว่า MOU 44 จะไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนบนเกาะกูดอย่างแน่นอน โดยให้เหตุผลว่า เกาะกูดเป็นของไทยอยู่แล้วตามสัญญาระหว่างไทยและฝรั่งเศส ปีคศ 1907 ตั้งแต่รัชกาลที่ 5
เขาคิดว่าคนไทยโง่ตามความฉ้อฉลของพวกเขาไม่ทัน ทั้งๆที่ฝ่ายเขมรได้ขีดเส้นจากฝั่งเขมรผ่ากลางเกาะกูดตามเอ็มโอยู 44 ผมเชื่อว่าทั้งสองคนก็รู้ว่า จุดนี้อาจนำไปสู่การอ้างของเขมรในภายหลังว่าส่วนหนึ่งของเกาะกูดเป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของเขมรโดยการฟ้องศาลโลกโดยอ้าง เอ็มโอยู44ที่รัฐบาลไทยทำไว้และยอมรับการลากเส้นผ่านเกาะกูดดังกล่าวได้
ผมเชื่อว่าทั้งภูมิธรรมและนภดลรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่วิสัยขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์ของ นายแม้วที่ได้ตั้งใจให้ประโยชน์แก่เพื่อนรักคือฮุนเซนมาตั้งแต่ปี 2544 แล้วนั่นเอง
ไม่มีคนไทยคนไหน นอกจากแม้วและขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์เท่านั้นที่เต็มใจหยิบยื่นผลประโยชน์ของชาติเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของพวกตน
เป็นบุญของแผ่นดินนี้ที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 และบรรดา ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนได้แสดงเจตน์จำนงแล้วว่า จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวได้จริงจะต้องระงับยับยั้งไม่ให้รัฐบาลดำเนินการใช้เอ็มโอยู 44 กับเขมรอีกต่อไป นั่นก็คือให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44กับเขมรนั่นเอง
ถ้าปล่อยให้รัฐบาลไทยและเขมรดำเนินต่อไปได้ ผมทำนายได้เลยว่าเราจะเสียดินแดนบนเกาะกูดอย่างแน่นอนโดยเขมรจะใช้เอ็มโอยูนี้ฟ้องศาลโลกและไทยจะแพ้คดีบนศาลโลกไม่ต่างจากเสียเขาพระวิหารเมื่อ ปี 2505 อย่างแน่นอน
จอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์เคยประกาศว่า การเสียเขาพระวิหารครั้งนั้น ตนเองจะรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว คำพูดดังกล่าวยังคงมีประโยชน์แต่แผ่นดินไทยมากน้อยเพียงใด คนไทยทุกคนย่อมรู้ดี คือการสูญเสียเขาพระวิหารไปไม่มีวันได้คืนมาด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 ของตุลาการศาลโลกนั่นเอง
คนไทยทุกคนยกเว้นแม้วและสมุนบริวารต้องหยุดยั้งเอ็มโอยู 44คือทำแท้งมัน ให้ได้เท่านั้น เราจึงจะไม่เสียเกาะกูดให้เขมรไปครับ