สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 24 ธันวาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ เพื่อบรรเทาค่าครองชีพของผู้สูงอายุให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมประเทศ
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐตามมติเมื่อวันที่ 23 เม.ย.67 สำเร็จ ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 5 กันยายน 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 กันยายน 2507) ทั้งนี้ ประมาณการจำนวนกลุ่มเป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 4 ล้านคน และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1.ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
2.ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
3.ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
4.ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ พฤศจิกายน 2567
5.ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 67
สำหรับการจ่ายเงิน กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10,000 บาทต่อคน จ่ายเงินครั้งแรกภายในเดือน ม.ค.68 ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชนของกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมบังคับคดี กำหนดแนวปฏิบัติเพื่ออนุญาตให้บุคคลล้มละลาย หรือถูกพิทักษ์ทรัพย์เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารและถอนเงินเป็นกรณีพิเศษ เพื่อรับเงินตามโครงการและเบิกถอนเงินดังกล่าวเพื่อจ่าย
ประโยชน์ที่ได้รับ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.07-0.1 ต่อปี
รายงานข่าวระบุว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เห็นชอบในหลักการ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังควรเตรียมแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าว เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างและลดปัญหาการร้องเรียนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างและลดปัญหาการร้องเรียนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ด้านสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) มีข้อสังเกตว่า ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งกระทรวงการคลัง แจ้งว่า จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนภายหลัง แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการเปิดลงทะเบียน จึงอาจมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่อาจมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์แต่ไม่ได้รับสิทธิตามโครงการนี้
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างครอบคลุม ทั่วถึง เป็นธรรม จึงควรเห็นให้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการให้ครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุดังกล่าว โดยอาจเปิดให้มีการลงทะเบียนผู้มีสิทธิในโครงการฯเพิ่มเติม