.
6 มีนาคม 2568 – ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังพิจารณาวาระผลกระทบจากการผลักดัน 40 ชาวอุยกูร์กลับจีน ว่า วันนี้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ เราได้ข้อมูลว่าในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 8 ม.ค.68 มีหนังสือจากทางการจีนส่งถึงไทย เพื่อขอตัวคนอุยกูร์อย่างเป็นทางการ ซึ่ง สมช.มีการประชุม และลงมติวันที่ 17 ม.ค.68 ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญ เท่าที่ทราบมีการประชุมโดยคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกิดขึ้นหลังมีมติส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับจีนแล้ว ครั้งนั้นมีการยืนยันว่า จะไม่ส่งตัวกลับไปที่ประเทศจีนอย่างแน่นอน
เมื่อไปดูในรายละเอียดในการประชุมของ สมช.มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการประชุมเรื่องนี้ อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็น 3 คีย์แมนสำคัญที่ตัดสินใจเรื่องนี้ โดยเหตุผลในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ ไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไร กลายเป็นเรื่องที่ สมช.พูดว่าอยู่ในห้องกัก ตม.(สวนพลู) ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เราจึงถาม ตม.ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เข้าข่าย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือไม่ ซึ่ง ตม.ปฎิเสธ และที่ผ่านมา ไม่ได้มีการสร้างกลไกแก้ปัญหาเรื่องนี้ จึงเป็นปัญหาที่ค้างคาอยู่ที่ประเทศไทยเรื่อยๆ
ส่วนกรณีประเทศที่สาม ที่มีการให้ข้อมูลว่าประเทศที่สามไม่ได้จริงจังต่อการรับคนอุยกูร์ไปอยู่ด้วย เมื่อพูดคุยรายละเอียดข้อเท็จจริงพบว่า ไทยไม่เคยทำหนังสืออย่างเป็นทางการในการสอบถามประเทศที่สามเช่นกัน เราไม่เคยทำหน้าที่เชิงรุกในการประสานงาน พูดคุยส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม อาจจะมีการพูดคุยด้วยวาจา แต่ไม่ได้มีการประสานอย่างจริงจัง หน่วยงานรัฐโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า ประเทศที่จริงจังที่สุดในการขอรับคนอุยกูร์คือ ประเทศจีน แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้จริงจังกับประเทศใด ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้
ข้อมูลที่ได้รับในวันนี้ค่อนข้างชัดว่า มีประเทศที่สามมากกว่าหนึ่งประเทศพร้อมรับชาวอุยกูร์ทั้งหมด แต่ปัญหาคือ ไทยไม่เคยตอบรับหรือมีหนังสือส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่สาม รัฐบาลไทยจึงส่งพวกเขากลับจีน
ขณะที่ประเด็นเรื่องความปลอดภัยคณะกรรมาธิการฯ มีมติขอข้อมูลกล้อง CCTV รายชื่อคนอุยกูร์ทั้งหมดพร้อมรูปถ่ายที่จะยืนยันได้ว่า เขาสมัครใจกลับหรือไม่ เพราะการจะดูว่าสมัครใจหรือไม่ กล้องวงจรปิดน่าจะให้ข้อมูลได้ ส่วนรถที่ใช้ในการขนไปส่งที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ในรถคันดังกล่าวจะมีกล้องวงจรปิดด้วย เราจะขอข้อมูลส่วนนี้มา ซึ่งจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ อากัปกิริยาว่ามีความเต็มใจหรือไม่
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า วันนี้เราพยายามเชิญนางสาวแพทองธาร นายภูมิธรรม นายมาริษ พ.ต.อ.ทวี แต่ทั้งหมดได้มอบหมายให้เลขา สมช.มา ชี้แจงแทน ทั้งที่ สมช.เป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะการส่งกลับชาวอุยกูร์เป็นการละเมิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เจ้าหน้าที่อาจซวยไปด้วย ตนเองเป็นห่วงเลขา สมช.หน้าตาท่านเปิดเผยชัดเจน เป็นไปได้ว่ารัฐบาลยืนอยู่หลังคนทำงาน ยืนอยู่หลัง สมช.แบบนี้ไม่แฟร์
เรายังไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีเพียงพอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็ส่งรองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาแจงแทน ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมืองมีรอง ผบ.ตร.และผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็น 20 คน แต่ไม่มีใครมาตอบเรื่องนี้ แม้แต่ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.ที่เดินทางไปจีนพร้อมเลขา สมช. ท่านก็ไม่มา จึงย้อนกลับไปที่รัฐบาล หากรัฐบาลมั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายโปร่งใส และเคารพหลักสิทธิมนุษยชน วันนี้คงไม่ให้ข้าราชการประจำออกหน้าแล้วไม่รับผิดชอบสิ่งที่ทำ
วิธีการที่ดีที่สุดที่จะดูว่าคนอุยกูร์จะอยู่ในสภาพแบบไหน ขัดกับหลักการไม่ส่งกลับไปในที่อันตรายต้องดูว่าล็อคเก่าคนที่กลับไปก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร แต่วันนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า 109 คนที่เคยส่งไปมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ เรามีทางเลือกในนโยบายต่างประเทศและการทูตมากมายที่ไม่จำเป็นต้องตัดสินแบบนี้ เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าประเทศไทยได้อะไรจากเรื่องนี้ มีแต่ได้ความเสี่ยงและปัญหาเพิ่มขึ้น ประเทศอื่นมองเราแย่ลง เราเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กลายเป็นสิ่งที่มาแทงเรา ตกลงแล้วสิทธิมนุษยชนเราจะเอาอย่างไร หลายส่วนชี้ชัดว่าประเทศไทยดำเนินการนโยบายนี้อย่างผิดพลาด
นายรังสิมันต์ ย้ำว่ามีประเทศที่สามารถมากกว่าหนึ่งประเทศที่ประสงค์รับชาวอุยกูร์ แต่ปัญหาการพูดคุยเรื่องนี้อยู่ในระดับที่ไทยก็ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเราพร้อมที่จะเลือกทางเลือกแบบไหน เมื่อเป็นแบบนี้เราจะโยนไปประเทศอื่นว่าไม่มีความจริงใจก็เป็นการชักสึกเข้าบ้าน ตัวแทนรัฐบาลได้วิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่นจนไม่แน่ใจว่าประเทศอื่นทำผิดอะไร ความจริงเขาพร้อมที่จะช่วย แต่เขาไม่มีมีความจำเป็นต้องไปคุยกับจีนแทนเรา เพราะเป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตยที่จะต้องสร้างความทัดเทียมกับประเทศอื่นในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ อีกอย่างเรามีกฎหมายภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องให้ความเคารพ
เมื่อถามว่าเลขา สมช.ได้ตอบหรือไม่ว่า เหตุใดต้องให้ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลก่อน นายรังสิมันต์ ระบุว่าเราไม่ได้รายละเอียด แต่เข้าใจว่าเป็นความตั้งใจอยู่แล้ว เป็นข้อวิจารณ์ว่าการที่จีนออกมาเปิดเผยก่อนดูเหมือนเป็นการปฏิบัติการของจีน ไทยต้องการให้เรื่องนี้เป็นการลับ แต่ภาพออกมาหราแบบนี้ อาจจะเป็นความผิดพลาด ส่วนคนอุยกูร์ที่ยังเหลืออยู่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม เบื้องต้นเราแสดงความจำนงว่าไม่อยากเห็นแบบนี้อีกแล้ว
ขณะที่การละเมิดอำนาจศาลนั้น นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน ที่เข้าร่วมประชุมด้วยได้ตั้งคำถามเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับคำตอบชัดเจน ตม.ยืนยันว่าคนอุยกูร์ มีการฟ้องที่ศาลว่าการควบคุมตัวมิชอบด้วยกฎหมาย เรื่องก็ยังคงค้างอยู่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ด้านนางสาวพรรณิการ์ วานิช ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น รวมถึงไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาวด้วย จากการแถลงของนายภูมิธรรม ในช่วงค่ำวันที่ส่งคนอุยกูร์กลับจีน ได้ใช้คำว่าไม่มีประเทศไหนเลยในรอบ 11 ปีที่ผ่านมาที่ติดต่อขอรับตัวชาวอุยกูร์ นอกจากจีน แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า มีการติดต่อโดยข้าราชการระดับรองอธิบดีของกระทรวงต่างประเทศ มีอย่างน้อยสามประเทศที่ติดต่อขอรับตัว
ดังนั้น การที่รัฐบาลพูดว่าไม่มีความจริงจัง เพราะไม่มีหนังสือนั้น ในหลักการดำเนินการทางการทูตจะเริ่มต้นด้วยการติดต่อกับรัฐบาล หรือกระทรวงการต่างประเทศด้วยวาจา ถึงจะดำเนินการขั้นต่อไปในการทำจดหมายทางการทูต วันนี้จึงถามนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า รัฐบาลไทยเคยทำหนังสือไปยังประเทศอื่นหรือไม่ เนื่องจากสหรัฐอเมริการะบุชัดเจนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เคยยื่นเงื่อนไขในการแก้ปัญหาอุยกูร? และอยากให้รัฐบาลไทยพิจารณาพิจารณา
อีกทั้งนายรัศม์ ได้กล่าวในที่ประชุมว่า ไทยได้เจรจาปากเปล่า และไม่เคยทำหนังสือใดๆ จึงเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งในตัว ในขณะที่ท่านบอกว่าประเทศอื่นไม่จริงจัง ประเทศไทยก็ไม่ได้จริงจังกับเขาก่อน เพราะทางการทูตต้องทำเท่ากันทั้งสองประเทศ หากรัฐไทยบอกว่าประเทศอื่นไม่จริงจัง และประเทศอื่นต้องไปเจรจากับจีนด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ไทยเจรจาคนเดียว จึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง นี่คือคำพูดจากผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจริงหรือไม่
“การทูตไทยไม่จำเป็นต้องให้ประเทศอื่นเป็นเอเจนท์ตัวแทนในการเจรจากับจีน เรามีเกียรติศักดิ์ศรีมากเพียงพอในการเจรจาด้วยตนเอง วันนี้จึงต้องถามกลับว่าการส่งตัวกลับจีน ท่านทำทั้งที่รู้ว่ามีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ แต่ท่านไม่จริงจังพิจารณาทางเลือกนั้น“
รวมถึงกรณีที่นายรัศม์ ยืนยันหนักแน่นว่า จะต้องเชื่อรัฐบาลจีนเนื่องจากเขารับรองความปลอดภัย จึงถามกลับว่า 10 ปีที่แล้ว รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยอมรับว่ารัฐบาลจีนยืนยันความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ทั้ง 109 คน แต่คำถามคือ 109 คนนั้น วันนี้อยู่ที่ไหน รัฐบาลไทยเคยติดตามตรวจสอบก่อนส่งไปหรือไม่