ข่าวประจำวัน » อ้างศาสนาทำร้ายคน !! หน.ฝ่ายมูลนิธิเพื่อสันติ ชี้ปัตตานีไม่ใช่ดินแดนสงคราม

อ้างศาสนาทำร้ายคน !! หน.ฝ่ายมูลนิธิเพื่อสันติ ชี้ปัตตานีไม่ใช่ดินแดนสงคราม

10 March 2025
42   0

สายัณห์ สุขจันทร์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ โพสต์ภาพที่มีข้อความจากหนังสือจุฬาราชมนตรี ที่ลงนามโดย อาศิล พิทักษ์คุมพล อดีตจุฬาราชมนตรี ที่มีข้อความว่า“ประเทศไทยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และเผยแผ่ศาสนา อันเป็นปกติ

ดังนั้นถือเป็นดินแดนแห่งสันติภาพ (ดารุสลาม) และไม่ใช่ดินแดนให้สงคราม (ดารุ้ลฮัรบี)ชนต่างศาสนิก ถือเป็นมิตร และต้องปฎิบัติกับพวกเขาอย่างสันติ ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า มิได้ทรงห้ามอิสลามิกบริษัท ในการปฎิบัติดีตอบและดำรงความยุติธรรมด้วย”

โพสต์ข้อความกล่าวถึงการก่อเหตุของผู้ก่อการร้ายในจังหวัดปัตตานีและนราธิวาสที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ โดยระบุว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกที่บิดเบือนคำสอนอิสลาม และอ้างประวัติศาสตร์จากยุคสมัยจอมพล ป. ที่ในสมัยนั้น รัฐไม่ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่รัฐในปัจจุบันยอมรับและส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมแล้ว

โดยมีข้อความว่า“ #ปัตตานี ไม่ใช่ ดินเเดนสงคราม (ดารุลฮันบี)ใครฆ่าผู้บริสุทธิ์ ใครทำลายทรัพย์สิน ในช่วงรอมาฎอน ยิ่งตอกย้ำว่า เป็นการกระทำของ พวก ซาตาน อิบลิส ไม่ใช่เเนวทางของผู้ศรัทธารอมาฎอน เป็นเดือนเเห่งความสงบสันติ อย่ามาอ้าง ญีฮาด เเบบผิดๆ ให้มุสลิมไทยคนอื่นๆเเละอิสลามเสียหาย ไปด้วยบาบอ หรือ จูเเว ที่โดนหลอกคนไหน ที่อ้างว่า 3 จังหวัด คือดารุ้ลฮัรบี นั้น

จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขา กำลังบิดเบือนคำสอนอิสลาม เพื่อเเนวทางสุดโต่งของพวกเขา ซึ่งเบื้องหลัง คือการ ตอบสนองนโยบายของ ยาฮูด โดยมี รอฟีเฏาะ คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวฉนั่น เเนวทางของ พวก BRN หรือจูเเว กลุ่มใดก็ตามเเต่ ที่สอนให้ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เเนวทางอิสลาม เเละพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร กันกับอิสลามเพราะพวกเขา สู้ เพื่อชาติพันธุ์ มาลายู

ซึ่งเป็นแนวทางของไซตอน ที่เรียกร้องให้คลั่งไคล้ชาติพันธุ์ไม่ใช่การต่อสู้เพื่ออิสลามเพราะแนวทางของอิสลามนั้นย่อมไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ และอยู่ในกรอบของกติกาการทำสงครามที่ไม่เป็นผู้บ่อนทำลายอย่างเช่นที่ปรากฏอยู่คำถามหรือข้อเเลกเปลี่ยนที่อยากรู้ข้อมูลจริงๆ หรือเป็นการเเสวงหาสัจธรรม ผมยินดีอธิบายนะ เเต่ถ้ามาเเบบเม้นท์เกรียนด่าไร้สติเเบบ ติ่งจูเเว ไร้สมองนี้ ผมไม่เสียเวลา คุยด้วย

คำถามนี้เขาหยิบยก เหตุการณ์ สถานการณ์ ในยุคแรก 70 กว่าปีที่ผ่านมาขึ้นไป ก็คือในยุคที่ประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการอย่างยุคสมัยของจอมพลปพิบูลสงคราม ที่มีการอุ้มฆ่า ฮัจยี สุหลง

อยู่ต่อมาในยุคของนายควง อภัยวงศ์ หรือไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชโดยเฉพาะในยุคของจอมพลปพิบูลสงครามนั้นอันนี้ก็ต้องยอมรับว่ายุคนั้นรัฐบาล ภายใต้การนำของเผด็จการอยากจองคุณพ่อพิบูลสงครามและอยู่ฝ่ายมหาอำนาจญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยแล้ว

ถือได้ว่าเป็นยุคที่ประชาชนในประเทศไทยถูกปลดกี่คนเองอย่างรุนแรง รอรัฐบาลจอมพลปพิบูลสงครามเป็นรัฐบาลเผด็จการแบบเดียวกับ ฮิตเลอร์ ชาตินิยมสุดโต่ง ที่ไม่ยอมรับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมความเชื่อของศาสนาอื่นวัฒนธรรมอื่นที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยแม้กระทั้งคนจีนเองก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงในยุคนั้น และแน่นอนมุสลิมเองก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงเช่นกัน

และเป็นช่วงที่ บังเกิดผู้รู้ที่ทรงคุณค่าท่านหนึ่งกองดินแดนปัตตานีในยุคนั้น ก็คือ ฮัจยี สุหลง (เรื่องราวของฮีจยี สุหลง วันหลังผมจะมาลงรายละเอียดอีกทีนึง)เครื่องเดิมทีฮัจยี สุหลง คือ อูลามาฮ คนหนึ่ง ที่ต้องการกลับมาฟื้นฟูอิสลามในดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในยุคนั้น เพราะในยุคนั้นคนในต่างจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง อยู่กับเรื่อง งม งายเรื่องชีวิต อยู่กับพิธีกรรมเรื่องพวก ภูตผีเจ้าที่เจ้าทางเยอะ จึงต้องการกลับมา

ปฏิรูปสังคมมุสลิมให้กลับไปหาอิสลามที่บริสุทธิ์ให้มากขึ้นจึงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางด้านศาสนาของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีด้วยซึ่งระวังนั้นมีเรื่องราวรายละเอียดมากมายที่ผมไม่สามารถกล่าวได้ทั้งหมดในบทความนี้ ครั้งต่อไปจะนำเสนออย่างละเอียดอีกทีคดีสู่หลงเห็นว่าประชาชนในพื้นที่โดนกดขี่ข่มเหงทางด้านศาสนาจากภาครัฐยังไม่เป็นธรรมจึงได้มีการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา

ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าตอนนั้นฮัจญี สุหลง ไม่ได้มีคำกำลังและไม่ได้มีกระบวนการเหมือน brn ในปัจจุบัน ท่านใช้วิธีการ เยี่ยง อารยชน ที่เจริญแล้วก็ทำการก็คือใช้สันติวิธีในการยื่นข้อเสนออย่างตรงไปตรงมากับภาครัฐ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับพี่น้องมุสลิมมลายูในพื้นที่แต่ด้วยกับรัฐบาลนายกนั้นเป็นรัฐบาลเผด็จการจึงมีการอุ้มฆ่าท่านในที่สุดซึ่งถามว่าแม้กระทั่งผมเองคือใครก็ตามแต่ถ้าอยู่ในยุคนั้นก็คงทนไม่ไหวกับการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลจอมพลปพิบูลสงคราม ไม่ต้องเอาคนอื่น ตัวผมเองนี่แหละถ้าผมเป็นคนมาเลอยู่ที่อยู่ในยุคนั้นได้เจอบริบทแบบนั้นผมก็ตอบตัวเองได้เลยว่าต้องจับอาวุธลุกขึ้นสู้แน่นอนเฉกเช่นเดียวกับ

ขบวนการเสรีไทย ที่มีการตั้งกองกำลังและตั้งเป็นขบวนการในการต่อต้านอำนาจรัฐซึ่งก็มีการใช้ความรุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะรัฐบาลเผด็จการไม่สามารถที่จะพูดคุยเรียกร้องสิทธิใดๆได้อันนี้ผมว่าไม่ใช่เฉพาะมุสลิม มาลายู คนที่ไม่ใช่มุสลิมถ้าพูดถึงยุคนั้นเขาก็จะเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ทันทีว่ามันชอบทำอยู่ ว่าด้วยฮุกมศาสนา หรือสิทธิตามมาตรฐานสากลทั่วไปแต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในบริบทปัจจุบันนั้น มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ไม่เหลือเขาเลยในเรื่องการกีดกันทางศาสนาในเชิงนโยบายหลงเหลืออยู่อีกกล่าวคือ

ตั้งแต่กฎหมายสูงสุดของประเทศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในมาตรา 31 บัญญัติไว้ชัดเจนในการให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติตามศาสนบัญญัติของตนได้อย่างเสมอภาคเสรีภาพและมีมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชุมชนพลเมือง ที่ให้สิทธิแก่ประชาชนไว้อย่างเสมอภาคไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาอีกต่อไปอีกทั้งในรัฐบาลก็ยังมีโครงสร้างการปกครองที่เอื้ออำนวยให้สิทธิแก้มุสลิมและทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน แถมในโครงสร้างของรัฐบาลตลอดเรื่อยมานั้นมักจะมีมุสลิมมลายูเองเข้าไปมีบทบาทที่สำคัญหลายต่อหลายครั้งด้วยกันเช่นในยุคอดีตกลุ่มวาดะฮไม่ว่าจะเป็น

ท่านเด่น โต๊ะมีนา ก็เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล และต่อมาในยุครัฐบาลทักษิณตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา กลุ่มวาดะฮ ก็ได้รับตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประธานรัฐสภา คือ วันมูฮัมหมัด นอร์มะทา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ อารีเพ็ญ อุตรดิตถ์ และยังมีมุสลิมคนอื่นๆที่มีความสำคัญในโครงสร้างของรัฐบาลนายตัวหลายครั้งและปัจจุบันเองผู้ที่นั่งเป็นประมุขสูงสุดของฝ่ายสภาก็เป็นมุสลิมมลายูอีกเช่นกันแถมยังมีการตั้งพรรคการเมืองที่ออกตัวว่าเป็นพรรคการเมืองของพี่น้องมุสลิมมลายูด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญพระมหากษัตริย์ของไทย ยังได้ให้ความสำคัญแก่มุสลิมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นพระราชกรณียกิจ ที่ได้เข้ามาดูแลทุกข์สุขของพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ถึงขนาดมีการให้ มีการแปลอัลกุรอานฉบับภาษาไทยแจกจ่ายให้กับพี่น้องมุสลิมเพื่อได้เรียนรู้เข้าใจศาสนาของตนเองมากขึ้นยังมีการสร้างมัสยิดด้วยเงินของส่วนพระองค์จำนวนหลายหลังด้วยกันและในช่วงการจัด งานกิจกรรมของพี่น้องมุสลิมพระองค์ก็ทรงให้เกียรติมาร่วมงานทุกปี ทั้งที่ปัตตานี 3 จังหวัดชายแดนใต้และที่กรุงเทพฯฉะนั้นด้วยบริบทและสภาพการณ์ปัจจุบัน

จึงไม่มีเหตุผลไม่ว่าจะเป็นทางด้านหลักการศาสนา หรือมาตรฐานทางสากลทั่วไปที่จะเรียกร้องให้ต่อสู้ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรงอีกต่อไปซึ่งเรื่องนี้สอิหม่ามอิบนุก๊อยยิมเคย ฟัตวาว่าการฟัตวา จะเปลี่ยนไปตามบริบท,สถานการณ์,เวลาเพราะฉะนั้นการอ้างว่ารัฐไทยเป็นดารุ้ลฮัรบีย์จึงอ้างไม่ขึ้นครับ

เพราะบริบทปัจจุบันเปลี่ยนแล้วไม่เหมือนยุคชัยคดาวูด ฟาฏอนี และเรื่องฟัตวาเปลี่ยนตามบริบทเป็นที่เห็นตรงกันในอุลามาอในทุกมัสฮับครับ ชาฟิอีย์ด้วย.สรุป คือ บริบทในอดีต ไม่ว่า ในยุค เชคดาสุดฟาฏอนี ยุคฮัจญี สุหลง นั้น

มันเป็นอีกบริบทเพลงสถานการณ์ที่จะต้องว่ากันไปตามบริบทและสาธารณสถานในตรงนั้นในยุคนั้นแต่ที่เรากำลังเรียกร้องให้กลับสู่หาความถูกต้องในรูปแบบอิสลาม ว่าการใช้ความรุนแรงการสอนให้ หลังเลือด ผู้บริสุทธิ์

ในยุคปัจจุบันนั้นมันขัดต่อหลักการศาสนาอย่างร้ายแรงเพราะปัจจุบันเป็นสังคมมุสลิมที่อยู่ภายใต้การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยที่ไม่ได้มีการกดขี่ข่มเหงหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางด้านศาสนาอีกต่อไปส่วนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วยบางคนที่ยังมีพฤติกรรมรังแกมุสลิมอยู่นั้นก็ว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมืองซึ่งยังมีช่องทางในเครื่องมือให้มุสลิมสามารถต่อสู้ตามกติกาบ้านเมืองได้อยู่

จึงไม่อนุญาตให้ใช้กำลังและความรุนแรงอีกต่อไปถ้าเราเอาประวัติศาสตร์มารื้อฟื้นเพื่อที่จะอ้างความชอบธรรมในการต่อสู้กันแล้วก็ แน่นอนทั้งโลกใบนี้ย่อมมีความสุขแล้ว เพราะแต่ละดินแดนย่อมมีการผลัดเปลี่ยนในการปกครองที่สนับหมุนเวียนกันไปตามยุคตามสมัยลองใช้เหตุผลและกลับไปหาแนวทางอิสลามที่เที่ยงตรงดูครับแล้วท่านจะไม่หลงทางกับการอ้างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาหลอกให้มาตายแทนใคร”

Cr. #TheStructure#ผู้ก่อการร้าย #BRN#ชายแดนใต้