Paisal Puechmongkol ผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า การเมืองไทยกำลังจะเป็นสามก๊ก
“๑ การที่คุณหญิงสุดารัตน์จะเป็นผู้นำทัพของ พท ในสมรภูมิเลือกตั้งเป็นความจำเป็นของสถานการณ์ของ พท เพราะถ้าพลาดไปจากนี้ก็ต้องทำให้ท่านโอ๊กออกนำทัพเองดังที่ผมพยากรณ์มาแต่เดิม ซึ่งยามสถานการณ์ล่อแหลมนี้ถ้าเป็นรามเกียรติ์แล้ว ทศกรรณฐ์ก็ต้องเก็บกล่องดวงใจไว้ก่อนรอเวลาให้วิชาคุณแก่กล้าอีกหน่อย
๒ พท ประมาณว่าจะได้ สส ๒๓๐ เสียง ปชป ของท่านมาร์ค ๑๓๐ เสียง พรรคเสียบทั้งหลายก็กระจายกันไปและพร้อมจะเข้าร่วมกับใครก็ได้ขอให้ได้เป็นรัฐบาล ในขณะที่ลุงตู่จะมีฐาน สว ๒๕๐ เสียง ดังนั้นจึงไม่มีฝ่ายใดมีเสียงพอตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ สถานการณ์สามก๊กทางการเมืองจึงเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้แม้ท่านแม้วจะมีบทบาทต่อพรรคเสียบและประสานมาโดยตลอด แต่วิสัยพรรคเสียบก็ย่อมรู้สถานการณ์ดี ดุจดังนกที่ต้องเลือกไม้ใหญ่ทำรัง ทั้งบทเรียนที่ ทรก และ พปช เขมือบพรรคเล็กๆในอดีตที่ใครขัดขืนก็ต้องถูกกระทืบจมธรณีดังกรณีกลุ่มปากน้ำนั้นยังเป็นแผลลึก จึงไม่ง่ายที่ผลีผลามไปร่วมกับ พท
๓ สภาพเช่นนี้วิถีที่ พท. จะเป็นรัฐบาลจึงมีแต่ต้องร่วมกับ ปชปและคุณหญิงสุดารัตน์ก็เหมาะที่จะประสานกับ ปชป ได้ โดยมีคนอีก๓-๔ คนประสานกระหนาบอีกรอบหนึ่ง และในกรณีนี้ไม่มีทางที่ ปชป จะยอมให้ พท เป็นนายก คุณหญิงสุดารัตน์จึงคงเป็นรองนายกและจัดคนเป็นประธานรัฐสภาหรืออาจมอบตำแหน่งนี้แก่พรรคเล็กหากว่าเสียงไม่ครบ ๓๗๖ ในกรณีนี้ ปชป ก็เสี่ยงแตก เพราะจำนวนหนึ่งซึ่งรู้ดีว่าแผนยืมมีดฆ่าโคเมื่อบรรลุแล้ว โคตัวต่อไปจาก คสช ก็คือ ปชป นั่นเอง ปชป ก็อาจแตกโดยพวกที่ไม่เห็นด้วยจะไปโหวตให้ลุงตู่ ท่านมาร์คหากคิดเป็นนายกลักษณะนี้ก็จะเป็นยิ่งกว่าอ้วนเสี้ยว
๔ ปชป มีทางเลือกภายใต้สถานการณ์ขณะนั้นสนับสนุนลุงตู่เป็นนายกก็จะมีเสียง สว ๒๕๐ ปชป ๑๓๐ เป็น ๓๘๐ ตั้งนายกได้ แต่บริหารไม่ได้เพราะเสียงในสภาผู้แทนไม่ถึงครึ่ง จะต้องได้เพิื่้มอีกอย่างน้อย ๑๒๑ เสียง ซึ่งไม่ยาก แต่ลุงตู่จะเหนื่อยและวันหนึ่งก็อาจต้องขว้างแก้วเหล้ากับพื้นและก่นว่า”…แม่ เรื่องอะไรกูจะต้องเป็นทาสพวกมันว่ะ” แบบที่จอมพลประภาสเคยทำมาแล้วและต้องเหนื่อยแรงคนที่จะต้องทำหน้าที่แบบปู่ยศ (พลอ ยศ)
ในกรณีนี้ท่านมาร์คก็จะนั่งตำแหน่งประมุขนิติบัญญัติตามรอยท่านชวน รอเวลาลุงตู่วางมือก็เป็นนายกในขณะอายุ ๖๐ ปี กำลังเหมาะดีไม่ใช่หรือ
๕ ทว่าลุงตู่นั้นไม่ใช่นายทหารแบบในอดีตอีกแล้ว เป็นนายทหารที่เท้ายืนถึงพื้น มือเอื้อมถึงฟ้า ถูกกำหนดให้มาแก้วิกฤติชาติไปจนกว่าดาวมฤตยูจะพ้นราศีเมษโน่น แม้ภา่คภูมิดลฝุ่นยังคละคลุ้ง แต่ภาคนพดลกระจ่างนัก รัฐบาลแห่งชาติจึงเป็นทางที่ต้องเป็นไป
จึงขอบอกพวกเกียร์ว่าง เกียร์ถอยหลังและพวกเจาะยางทั้งหลายให้หยุดเสียเถิด เห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร มาร่วมกันปฏิรูปบ้านเมืองให้มั่นคง มั่งคั่งยั่งยืน ดีกว่า หลังตุลาคมนี้ไปแล้วพวกโกงบ้านกินเมืองพวกฉ้อฉล บิดเบือนการใช้อำนาจจนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ พวกไม่นำพาประเทศชาติและราษฎรจะไม่มีที่ยืนดอก อย่าลำพองกันนักเลย”
อย่าไรก็ตามผู้สื่อข่าว vihok news รายงานว่า การปกครองของไทยจนถึงปัจจุบัน ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็น “พระประมุข” มิใช่นายกรัฐมนตรีเป็นประมุข เหตุการณ์ลักษณะข้างต้นเคยขึ้นในประเทศไทยมาแล้ว ในการรัฐประหารของ รสช. ที่มีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะ และทุกอย่างสงบเป็นอย่างดี ต่างชาติยอมรับ หลังจากมีรัฐบาลพลเรือน ของนายอานันท์ ปัญญารชุน จนเกิดการเลือกตั้ง พรรคสามัคคีธรรม(พรรคทหาร) ได้สนับสนุนให้ พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจึงเกิด เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในปี 2535 มีประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย สูญหาย เป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการที่ 9 ทรงให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าเฝ้า ด้วยพระบารมีจึงยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น ต่อมา พลเอกสุจินดา คราประยูร ประกาศแถลงการณ์ออกโทรทัศน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่สภาผู้แทนราษฎร เสียงส่วนใหญ่ที่สนับสนุนทหาร จะมีมติให้ พลอากาศเอก สมบุญ ระหงส์ รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลสุจินดา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี กระนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภา ได้เปลี่ยนชื่อ ในการขอทูลเกล้านายกรัฐมนตรี โดยให้รัฐบาลพลเรือน นายอานันท์ ปัญญารชุน กลับมาเป็นนายกอีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกระแสรับสั่งในช่วงทูลเกล้าชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “สมเป็นรัฐบุรุษ” จนทำให้ ดร.อาทิตย์ ได้ฉายา วีระบุรุษประชาธิปไตย จากสื่อมวลชนจนถึงปัจจุบัน จากนั้นบ้านเมืองจึงสงบลง
ทีมข่าว สำนักข่าว vihok news รายงาน