6 ส.ค.60 วัฒนา เมืองสุข พรรคเพื่อไทย ได้โพสข้อความระบุว่า “นักเลง กุ๊ย อันธพาล”ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแจ้งผมว่า พนักงานสอบสวน บก.ปอท. จะไปขอให้ศาลอาญาออกหมายจับผมอีก เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความเพิ่มเติมว่าข้อความที่ผมโพสต์ทางเฟสบุ๊คส่วนตัว มีลักษณะเป็นการยุยงทำให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ฯลฯ อันเป็นความผิดตามมาตรา 14 ของกฎหมายคอมพิวเตอร์ ดังนั้น วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม เวลา 10.00 น. ผมจะไปมอบตัวต่อ พงส. พร้อมกับขอยืนยันว่า ไม่ว่าพวกคุณจะนำเอาทุกโพสต์ของผมไปแจ้งความก็ตาม ผมจะยังวิพากษ์วิจารณ์พวกคุณต่อไป พฤติกรรมดังกล่าวคือการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เมื่ออำนาจกลับคืนมาเป็นของประชาชนพวกคุณจะต้องถูกตรวจสอบ ประชาชนจะไม่ปล่อยพวกคุณอย่างแน่นอน
ดังนั้น การที่พลเอกประยุทธ์ฯ บอกว่าตัวเองไม่ใช่นักเลงจึงถูกต้องแล้ว เพราะคำว่านักเลงหมายถึงคนจริง หากเป็นคำนามแปลว่าผู้ฝักไฝ่ในสิ่งนั้น ถ้าเป็นคำวิเศษณ์แปลว่าใจกว้าง กล้าได้กล้าเสีย เช่น ใจนักเลงคือคนที่กล้าทำและยอมรับผลที่เกิดขึ้น ซึ่งต่างจากกุ๊ยที่แปลว่า คนชั่วต่ำช้า คนไม่สุภาพไร้มารยาท เช่น กินกล้วยแล้วขว้างเปลือกใส่คนอื่น ซึ่งอาจเกิดจากทางบ้านไม่ได้อบรมหรือมีปัญหาด้านวุฒิภาวะ ส่วนอันธพาลแปลว่าคนปัญญาโง่ทึบ คนเกะกะระราน คนที่เป็นนักเลงจะไม่รังแกผู้อื่น ไม่พูดจากลับกลอก หน้าบางและไม่หนีความรับผิดชอบ ส่วนคนที่ชอบชมตัวเองสุภาษิตไทยเรียก
“ยกหางตัวเอง” ซึ่งแม่ผมเคยสอนว่าเป็นอาการของสุนัขที่จะยกหางขึ้นเองเวลาถ่าย การชมตัวเองจึงเปรียบได้กับสุนัขที่กำลังปล่อยอาจม แต่ก็ยังนับว่าดีที่พลเอกประยุทธ์ยังรู้ตัวว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักเลงได้ ส่วนพฤติกรรมแบบท่านจะถือเป็นคนแบบไหนคงต้องถามประชาชน สรุปแล้ว คำว่านักเลงไม่ได้มีความหมายด้านร้ายพุทธศาสนาจึงไม่ห้ามเป็นผู้นำ ซึ่งต่างจากคนอีกประเภทหนึ่งที่ชอบแก้ตัวหรือโทษคนอื่น เช่น แก้ปัญหาสินค้าเกษตรไม่ได้ก็โทษชาวบ้านว่าปลูกกันมากเอง หรือแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ก็โทษธรรมชาติ เป็นต้น คนพวกนี้พระพุทธเจ้าทรงห้ามเอามาเป็นผู้นำเพราะจะทำบ้านเมืองเสียหาย ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “พาโล อปริณายโก” อยากรู้คำแปลก็ถามลูกน้องเอา
สำนักข่าววิหคนิวส์