ศาลยกฟ้อง กก.ผจก.บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด กับพวกรวม 13 คน ในคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม ชี้บริษัทไม่ได้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวผิด กม.และไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนคนใดมาเบิกความยืนยัน
MGR Online – ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมเกียรติ คงเจริญ อายุ 58 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด, นางธวัล แจ่มโชคชัย อายุ 60 ปี กรรมการผู้จัดการ, นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี อายุ 27 ปี กรรมการผู้จัดการ กับพวกรวม 13 คน ในความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกระทำการอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้อนุญาต
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 จากกรณีสืบเนื่องเมื่อระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2559 ต่อเนื่องกัน บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด นำนักท่องเที่ยว ชาวจีนเข้ามาโดยไม่มีค่าบริการ หรือที่เรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ จากนั้นบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ของจำเลยให้ใช้รถบัสจำนวน 2,500 คัน รับนักท่องเที่ยวฟรี โดยเป็นผู้กำหนดแผนการเดินทางให้มัคคุเทศก์และผู้ขับขี่นำรถไปจอด ให้นักท่องเที่ยวแวะซื้อสินค้าจากร้านในเครือเดียวกับบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งสินค้าภายในร้านมีราคาแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่า แสดงฉลากไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการขูดรีดนักท่องเที่ยว ไม่เกิดการแข่งขันเสรีทางการค้า ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย นอกจากนี้มีข้อมูลการโอนเงินระหว่างบริษัทพวกจำเลยจำนวนมาก มีการอำพรางแบ่งปันผลประโยชน์ โดยบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด แบ่งปันผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ 30-40 เปอร์เซนต์ ให้มัคคุเทศก์ 3 -5 เปอร์เซนต์ มีพฤติกรรมเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ ปกปิดวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินของนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญชาวจีน รวมมูลค่าความเสียหาย 98 ล้านบาทเศษ
ในวันนี้จำเลยทั้ง 13 คน เดินทางมาครบ โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายเห็นว่า เหตุที่นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางเพิกถอนใบอนุญาติธุรกิจนำเที่ยวของบริษัทซิน หยวน ทราเวล จำกัด และบริษัทฝูอัน ทราเวล จำกัด เพราะกรรมการขาดคุณสมบัติไม่มีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่ไม่ได้เพิกถอนใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยว เพราะบริษัททั้งสองไม่ได้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานและนักท่องเที่ยวคนใดมาเบิกความกับศาลว่าถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัท มีเพียงบันทึกคำให้การจากนักท่องเที่ยวที่ระบุว่ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและมีความประทับใจและไม่เคยถูกบังคับให้ซื้อสินค้าหรือบังคับให้เดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง
ขณะที่พวกจำเลยก็นำสืบสอดคล้องทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว แต่ประกอบธุรกิจให้เช่ารถบัสกว่า 2 พันคัน และมีร้านจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมีเงินทุนหมุนเวียนกันในบริษัท ก่อนถูกจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม และถูกฟ้องศาลแพ่งยึดและอายัดทรัพย์สินกว่า 3,600 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนรถบัสก็ถูกอายัดโดยไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดจนล่วงเลย 90 วันตามกฎหมาย
ส่วนข้อหาอั้งยี่ โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงหรือข้อมูลใดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวเลย การฟ้องข้อหาอั้งยี่ นำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงิน ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เบิกความว่าทำหน้าที่เพียงตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยทั้ง 13 จากเอกสารสำนวนการสอบสวนเท่านั้น หลังตรวจสอบเสร็จก็ได้ส่งเรื่องคืนไปยังพนักงานสอบสวน ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้อง การกระทำเช่นนั้นทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหายเป็นอย่างมาก แต่จากพยานหลักฐานที่นำสืบมากลับไม่มีข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 13 ได้ร่วมกันกระทำความผิด ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ภายหลังทราบผลคำพิพากษา จำเลยทุกคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความยินดีแก่กัน แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ อ้างว่า จะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการต่อไป
สำนักข่าววิหคนิวส์