นายบุญชัย เบญจรงคกุล หรือ “เจ้าสัวบุญชัย” กล่าวภายหลังเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะพยานกรณีการครอบครองบ้านพักตากอากาศบนยอดเขาป่าสงวนแห่งชาติควนโต๊ะหลาและป่าแหลมซำ ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่า ดีเอสไอมีหนังสือเชิญให้ตนเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน จากกรณีเครือข่ายอันดามันแจ้งว่ามีกลุ่มนายทุนบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตนได้เตรียมเอกสารมาชี้แจงให้พนักงานสอบสวนเห็นครบถ้วนว่าตนได้ที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต โดยเป็นการได้มาจากเพื่อนที่ทำโครงการบ้านพักตากอากาศ บริษัทแคป พังงา พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นเพื่อนตนสมัยอยู่สหรัฐอเมริกา ขณะที่บริษัทแคปฯ ก็ซื้อที่ดินมาจากคนในพื้นที่อีกต่อหนึ่ง
แนวหน้า – นายบุญชัย กล่าวอีกว่า ส่วนสภาพที่ดินก่อนและหลังซื้อ รวมถึงการชำระเงินซื้อขาย ก็ได้แจ้งต่อดีเอสไอไปแล้ว และคิดว่าทางดีเอสไอน่าจะพอใจกับคำตอบที่เตรียมมา เพราะตนมีหลักฐานมาแสดงให้เห็นครบถ้วนทั้งสัญญาซื้อขาย ใบอนุญาตก่อสร้าง รวมทั้งที่มาของบริษัทที่ไปไถ่ถอนที่ดินทุกแปลงจากธนาคาร ส่วนที่ดินดังกล่าวจะต้องถูกเพิกถอนหรือไม่ขอให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ตนมีหน้าที่มาแสดงความบริสุทธิ์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นผู้บุกรุกป่า
ด้าน พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หลังสอบปากคำพยานที่มีชื่อเป็นผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับที่ดินดังกล่าวไปแล้ว 2 ปาก ยังต้องดูข้อเท็จจริงให้ครอบคลุมอีกครั้งว่าการออกเอกสารสิทธิ์ชอบหรือไม่ และต้องสอบสวนทุกมิติ จึงยังไม่สามารถระบุเจตนาในการครอบครองที่ดินอย่างชัดเจนได้ ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้องสอบผู้เกี่ยวข้องอีกหลายปาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ดินและป่าไม้ อย่างไรก็ตาม หากสอบปากคำไปแล้วพบว่าจำเป็นต้องขยายผลสอบปากคำเพิ่มเติมก็จะต้องเรียกประจักษ์พยานอื่นต่อไปด้วย ขณะที่การอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศก็ต้องใช้เวลา
รายงานข่าว แจ้งว่า สำหรับการให้ปากคำในวันนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอต้องการทราบว่านายบุญชัย ซื้อที่ดินต่อมาจากใคร ในปีใด และราคาเท่าไร เนื่องจากดีเอสไอ ต้องการขยายผลเส้นทางการเงินว่าจะโยงไปถึง “เสี่ย ธ.” นักธุรกิจภูเก็ตหรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนด
สำนักข่าววิหคนิวส์