คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ถึงกรณีมีการเผยแพร่เอกสารร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กรณีถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจการพิเศษ โดยอ้างว่า เกิดจากการขัดแย้งกับอธิบดีดีเอสไอเนื่องจากไม่ยอมแจ้งข้อกล่าวหา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร ฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรในคดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งทำเรื่องนี้ให้เกิดความกระจ่างและชัดเจนว่า เห็นใดรัฐบาลจึงปล่อยให้มีการใช้อำนาจบีบบังคับเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ ซึ่งถือเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ให้จัดการแจ้งข้อกล่าวหากับ นายพานทองแท้ ให้ได้ ถึงแม้ว่าผลของการพิจารณาของคณะผู้สอบสวนจะสรุปว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่กลับมีผู้มีอำนาจที่สูงกว่าไปบีบบังคับให้มีการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาไปก่อนให้ได้ โดยอ้างว่าระบบยุติธรรมไทย ในส่วนของคดีอาญา เป็นระบบกล่าวหา ไม่ใช่ระบบการไต่สวน ให้จำเลยไปแก้ข้อกล่าวหาเอาเอง และเมื่อคณะผู้สอบสวนไม่ยอมทำตาม เพราะผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.157 และ ม.200 ก็ถูกลงโทษให้ย้ายออกจากตำแหน่ง ซึ่งกรณีนี้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากการใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพื่อใช้ขจัดฝ่ายตรงข้าม เพราะคดีนี้เกิดมานานกว่า 10 ปีหากผิดจริงเชื่อว่า จะต้องถูกดำเนินคดีตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 แล้ว คงไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานขนาดนี้
“นายกรัฐมนตรีต้องไม่เพิกเฉยต่อการกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการทำลายระบบยุติธรรม ถ้ายังปล่อยให้มีการอำนาจ เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมต่อไปสิ่งที่ คสช. เคยประกาศเป้าหมายในการทำรัฐประหารว่าต้องการเข้ามาเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ก็จะเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อยึดอำนาจเท่านั้น ไม่ได้มีความจริงใจที่จะทำให้เกิดประโยชน์สุขต่อคนในชาติอย่างแท้จริง” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
ที่มา แนวหน้า
สำนักข่าววิหคนิวส์